พลังจิตแบบธรรมชาติ

พลังจิตแบบธรรมชาติ

          พูดถึงพลังจิต เราจะนึกถึงเรื่องลี้ลับ หาคำอธิบายไม่ได้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ คนที่มีอำนาจจิต หรือมีพลังวิเศษอยู่เหนือคนอื่น มีตาทิพย์สามารถมองเห็นพลังงานอื่นๆ เห็นภูติผีปีศาจ พูดคุยเจรจาตกลงกับวิญญาณเหล่านั้นได้ หรือบางคนสามารถล่วงรู้อนาคตได้และอดีตของคนอื่นได้อย่างแม่นยำ เรื่องเหล่านี้อยู่คู่กับสังคมไทยมานานแล้ว และจะยิ่งดึงดูดใจให้ค้นหาเมื่อเราหันมาปฏิบัติธรรม 

          สมัยก่อนที่เรายังไม่อ้าแขนรับอารยธรรมตะวันตก ในแต่ละหมู่บ้านจะมีพ่อหมอแม่หมอประจำหมู่บ้านที่เก่งเรื่องสมุนไพรและศาสตร์การพยากรณ์ของท้องถิ่น การทรงวิญญาณสื่อสารกับโลกอีกมิติ  และลูกผู้ชายไทยแต่โบราณจะต้องเรียนรู้เรื่องอาคมและการฝึกกสิณมาบ้างอย่างน้อยในช่วงเวลาที่บวชเป็นพระหรือสามเณร  เรียนรู้วิธีป้องกันตนเองจากพลังร้ายเช่นลมเพลมพัด หรือเรียนรู้สัญญาณอันตรายในชีวิตประจำวันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยร้าย.. ศาสตร์ด้านพลังจิตหรือวิชาทิพยอำนาจที่คนสมัยก่อนร่ำเรียนนั้น ส่วนใหญ่แล้วเรียนเพื่อให้จิตมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ส่วนหนึ่งใช้แสดงฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้ และเพื่อใช้เป็นฐานยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาต่อไป ผู้ที่จะแสดงฤทธิ์อำนาจของพลังจิตจึงเป็นพวกนักบวช ฤาษี พ่อหมอแม่หมอ ฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมเคร่งๆเท่านั้น

 

          ซึ่งความจริงแล้วพลังจิต (Psychic) หมายถึงกำลังของจิต หรือจิตน้นมีกำลัง จิตก็เหมือนกล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกาย ที่เราไม่เคยเอาจิตมาออกกำลังกายให้มีกำลัง เมื่อเราฝึกฝนจิตบ่อยๆจิตก็จะมีกำลังทำในสิ่งที่เมื่อก่อนจิตเคยทำไม่ได้ และเรื่องพลังจิตก็คือปรากฏการณ์อันเป็นธรรมชาติของจิตเมื่อจิตมีกำลังขึ้นมานั้นเอง

          ในโลกปัจจุบันที่คนเริ่มหันมาสนใจเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเพื่อพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตอยู่ทาโลก เหมือนคนที่เดินไปมาระหว่างสองโลก บางคนโชคดีที่เข้าใจความจริงทั้งสองด้านในเวลาไม่นานนัก บางคนอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย

          เรื่องที่จะเขียนลงในบล็อค wisdom-update จะอธิบายมุมมอง "พลังจิตแบบธรรมชาติ" ที่ทุกๆคนล้วนมีอยู่เพียงแต่ไม่เคยทราบมาก่อน มันอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยามหลับและยามตื่น ในการอธิบายจะอธิบายผ่านกรอบอ้างอิงคือ "คลื่นสมอง" โดยเปรียบเทียบกับการฝึกจิตสมาธิในรูปแบบที่เราเคยเรียนรู้เข้าใจมา และหยิบยกเอาเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของคนอื่นๆที่พบเจอพลังจิตแบบธรรมชาติในชีวิตประจำวันสอดแทรกลงไป

          ซึ่งบทความทั้งหมดนี้ เคยนำเสนอสำนักพิมพ์ในเมืองไทย แต่พวกเขาปฏิเสธว่า คนไทยไม่ชอบอะไรที่แหวกแนว อ่านยาก หรือที่ไม่ใช่พลังจิตแบบไทยๆ และบทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเวบต์ไซต์ของฝรั่งหลายแห่งที่พวกเขาอุทิศตนเองในการเขียนบทความ เอกสารเรื่องเหล่านี้ในเวบต์จำนวนมาก ซึ่งทำให้สร้างความเข้าใจสำหรับผู้สนใจจำนวนมาก

 

          เดี๋ยวนี้พวกหมอดูญาณทิพย์ ตาทิพย์มีกันเยอะ บางครั้งเมื่อไปดูหมอดูเหล่านี้คุณคงอาจจะถูกทักว่า “.. คุณมีวิญญาณเด็กตามมาน่ะ.. ไปทำแท้งมาหรือเปล่า” หรือ  “เมื่อชาติที่แล้ว คุณฆ่าคนไว้มาก เพราะเกิดเป็นทหารในสงคราม พอชาตนี้มาเกิดใหม่ คนที่ถูกคุณฆ่าตายไป เขาไม่ยอม คุณจะต้องไปทำบุญให้เขาน่ะ”

          นี่เป็นคำบอกเล่าของเพื่อนๆที่ไปดูหมอดูแนว “ญาณทิพย์, ตาทิพย์, ดูกรรม” หรือคนที่มองเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น  บางครั้งเราก็เรียกหมอดูเหล่านี้รวมๆ “หมอดูพลังจิต”  เดี๋ยวนี้ มีหมอดูพลังจิตเกิดขึ้นมากมายในสังคม และเรียกชื่อไปต่างๆนานาแล้วแต่จะเรียกชื่อ หมอดูสไตล์นี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปขอรับบริการจากหมอดูพลังจิตเหล่านี้  โดยส่วนใหญ่แล้วเราคนไทยนิยมไปดู กรรมในอดีตชาติ, แก้กรรม, ดูดวง  สะเดาะเคราะห์ ดูว่าเมื่อไรจะได้รถคันใหม่, เมื่อไรจะมีคนมาจีบ ฯลฯ ถ้าคุณเจอคนที่มีพลังจิตมองอนาคตออกจริงๆแถมมีความรับผิดชอบ ก็นับว่าคุณโชคดีมาก เพราะไม่เช่นนั้นจะเจอเข้าแบบนี้

          ช่วงที่รัฐบาลไทย จู่ๆก็ลดค่าเงินบาทกระทันหัน โดยไม่บอกไม่กล่าวใครล่วงหน้า ทำให้คนทั้งประเทศกลายเป็นคนยากจนและชีวิตพบแต่ความซวย หลายครอบครัวถึงกับล้มละลายเพราะหนี้สินในธนาคารเพิ่มขึ้นเท่าตัว ในช่วงเวลานี้เองคุณพรรณี เธอเป็นสาวโสด ลูกสาวคนโตของครอบครัวที่ดูแลธุรกิจโรงค้าไม้และวัสดุเหล็กขนาดใหญ่ แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเธอมีหนี้สินเพิ่มขึ้นโดยที่เธอไม่ได้สร้างแต่เป็นเพราะอัตราค่าเงินบาทของเราลดลง

          โชคดีที่เธอเป็นคนเข้มแข็ง ไม่คิดฆ่าตัวตายเหมือนกับหลายๆครอบครัวที่ตกเป็นข่าว การดิ้นรนเฮือกใหญ่เพื่อหาเงินมาใช้ในระบบและเมื่อเศรษฐิจมีปัญหา ทำให้สินค้าของเธอขายไม่ออก แต่เธอก็ยังเป็นปุถุชนที่เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ก็อยากจะทราบอนาคตของตนเอง การตระเวณดูหมอดูทั่วราชอาณาจักรจึงเกิดขึ้น หมดเงินทองไปจำนวนมากกับคารมของหมอดูเหล่านี้ และหมอดูคนสุดท้ายเป็นซินแสชาวจีนต่างจังหวัดที่ใครๆรือกันว่าขั้นเซียน ซินแสเซียนคนนี้บอกว่า มีวิธีแก้ดวง ต้องทำพิธีเซ่นไหว้ฟ้าดินเสิรมดวงซึ่งเป็นพิธีใหญ่หลายหมื่นบาท เพื่อแลกกับการที่คุณพรรณีจะได้กลับมาผงาดเหมือนเดิม คุณพรรณีทุ่มทุ่นจ่ายเงินหลายหมื่นเมื่อรวมค่าของไหว้ก็หลายแสน สุดท้ายสถานการณ์ก็เหมือนเดิม การหนีปัญหามีแต่จะแย่ลง ในที่สุดเธอเลิกดูหมอทั้งหมด

          คุณพรรณีบอกว่า “จริงๆแล้ว หากเราเผชิญหน้ากับความจริง และความกลัวในตนเอง เราจะได้ยินเสียงว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง หรือควรทำและจัดการด่วนที่สุด” คล้ายๆกับเด็กๆที่ไม่อ่านหนังสือแต่อยากจะสอบผ่านได้เกรดดีๆ แต่กลับไปบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งๆที่ในใจลึกๆนั้นรู้ว่าจะต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ยังไง

          “ในที่สุดพี่หันมาสนใจเสียงในใจของตนเอง ว่าจัดการแบบไหนแล้วเราโอเค สงบสุข แทนที่จะนั่งทุกข์หรือดิ้นรนรักษาสภาพนั่นทำให้ทุกข์ พอพี่เห็นปั๊บ หยุดเลย มองดูว่าเราจะหาเงิน หรือยุบงานหรือเลิกงานนี้ เลิกกิจการแล้วทำงานตัวใหม่ ขายทิ้งเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้ได้

          พี่ตั้งโจทย์คำถาม แล้วถามตนเอง จากนั้นพี่ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ทำตัวเสมือนเป็นคนดู เอาความรู้สึกของตนเองที่ตอบสนองกับทางเลือกเหล่านั้น ทำให้พี่ค่อยๆตั้งสติแล้วเลือกทางเลือกที่ทำให้เรามีความสงบสุขและเอาตัวรอดได้” คุณพรรณีใช้การถามตอบในใจของตนเองเป็นแนวทางการไขปัญหาชีวิต ทำให้เธอสามารถรักษาสภาพส่วนใหญ่ได้ แล้วเริ่มต้นกิจการใหม่ด้านน้ำดื่มสุขภาพ แม้รายได้จะไม่ฟู่ฟ่านักแต่นั้นเป็นการจุดประกายตลาดด้านน้ำธัญพืชให้ค่อยๆได้รับความนิยมอย่างช้าๆ 

          ..นี่เป็นหนึ่งในหลายเรื่องราวของการหันกลับมาฟังเสียงภายในของตนเอง ใช้พลังความสามารถของตนเองในการตัดสินใจแก้ปัญหา ศักยภาพ “พลังจิต” เหล่านี้ล้วนมีอยู่ในตัวของเราเอง แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพด้านนี้ของตนเองได้เท่าไร บางคนไม่ทราบเลยว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังจิตในตนเอง จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถพัฒนาพลังจิตของเราและเอามาใช้งานได้ในชีวิตประจำวันให้เหมือนเป็นอวัยวะปกติๆอื่นๆของร่างกาย

 

คลื่นสมองกับภาษาพลังจิต

 

รู้จัก “ภาษาพลังจิต” ในตนเอง

          “ลางสังหรณ์-ความรู้สึก” เป็นพลังจิตแรกๆที่เรามักจะสัมผัสได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ ความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบของเราต่อสิ่งต่างๆรอบตัว บางคนมีสัมผัสไวต่อความรู้สึกละเอียดอ่อนต่อพลังงานเหล่านี้ และมักใช้ความรู้สึกของตนเองในการตัดสินใจ

          หลังจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554  ที่ดินหลายจังหวัดเกิดน้ำท่วม ทำให้เกิดกระแสคนไทยตื่นตัวไปหาซื้อที่ดินทางเหนือหรือทางอีสานมากขึ้น ทำให้ราคาที่ดินบางแห่งแพงขึ้นมาก คุณแอ๊วเป็นหนึ่งคนที่กำลังมองหาบ้านอยู่อาศัยหลังใหม่ในเชียงราย เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหลังเกษีณยอายุ คุณแอ๊วเธอค่อนข้างพอใจกับบรรยากาศของเชียงราย มีนายหน้าและคนรู้จักพาไปดูที่ดิน  แต่มีอยู่ที่ดินแปลงหนึ่ง อยู่บนเขา อากาศดีมาก ราคาไม่แพง สร้างบ้านอยู่อาศัยเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านต้องการจะขาย คุณแอ๊วกับสามีขับรถไปดูหลายรอบแต่หาไม่เจอ จนจะถอดใจไม่ไปดู แต่ก็ตัดสินใจสอบถามชาวบ้านแถบนั้นว่ามีใครรู้จักบ้าง ชาวบ้านคนหนึ่งที่อาศัยแถบนั้นจึงเป็นคนนำทาง คุณแอ๊วบอกว่า

          “ดูแล้ว รู้สึกว่าขนลุก น่าจะเป็นที่ทำสุสานมากกว่าเป็นบ้านคน เพราะมีภูเขาแล้วมีสายน้ำ” คุณแอ๊วบอกตามความรู้สึก ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ด้านฮวงจุ้ย “แถมบ้านก็มีบรรยากาศแปลกๆ เลยตัดสินใจไม่เอาค่ะ”

          ด้วยความสงสัยคุณแอ๊ว ให้เพื่อนที่เป็นชาวเชียงรายช่วยสอบถามหาเรื่องเล่าของชาวบ้านเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นหน่อย กลายเป็นว่าแต่เดิมมันเป็นที่ดินที่เคยทำเป็นสุสานมาก่อน แล้วแบ่งที่ส่วนหนึ่งมาสร้างบ้าน 

          นี่คือประโยชน์ของ “พลังจิต” ในชีวิตประจำวัน และพลังจิตที่ว่านี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนเพียงแค่เราส่วนใหญ่จะละเลยไม่สนใจที่จะฟังการเตือนหรือสัญญาณของความรู้สึกอันตรายที่เกิดขึ้น และพลังเหล่านี้เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับมนุษย์เพียงแค่เราเปิดใจรับฟังและพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเปิดระบบสัมผัสของร่างกายให้สามารถรับรู้ถึงพลังของธรรมชาติรอบข้างได้ง่ายและรวดเร็วเพื่อประโยชน์การใช้งานในชีวิตประจำวัน

          “เอก” หนึ่งในบรรดากลุ่มชายหนุ่มที่สนใจศิลปะป้องกันตัวแบบตะวันออก คนหนุ่มกลุ่มนี้สนใจฝึกทักษะการต่อสู้หลายแขนงอาทิเช่น คาราเต้ ยิวยิตสู ไอคิโด เคนโดดาบซามูไรญีปุ่น มวยไท่เก๊ก มวยภายในอื่นของจีน คนทีฝึกศิลปะการต่อสู้มาสักระยะ ความรู้สึกด้านสัญชาติญานเอาตัวรอดจะว่องไวมาขึ้น ถ้ามีใครมีเข้าใกล้แต่ยังไม่ถึงตัวแม้จะจากด้านหลังพวกเขาจะรู้สึกถึงอันตรายได้ทันที สามารถรับรู้และตอบโต้ไปตามสัญชาติญาณ พวกเขาบอกว่ามันเป็นความรู้สึกประเภทหนึ่งที่ส่งสัญญาณว่า “อันตราย” มีแรงกดดันบางอย่างเข้าใกล้เข้ามา คล้ายกับที่เมื่อเรานั่งรถเมล์ หรือกำลังรอเพื่อนอยู่แล้วจู่ๆรู้สึกผิดสังเกตมี “แรงพุ่งตรงบางอย่าง” ว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองเราด้วยความสนใจ เมื่อเรามองไปตาม  ”ความรู้สึก” นั้น เราจะเห็นว่ามีใครบางคนแอบมองดูอยู่ ส่วนใหญ่แล้วสัญชาติญาณแบบนี้ผู้หญิงจะสัมผัสได้ไวกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ชายจะต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อลดเกราะของความแข็งกร้าวทางจิตใจให้ลดลง ให้จิตใจอ่อนโยนมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

          สวนลุมพินียามเช้าตรู่ มีผู้คนจำนวนมากหลายหลายวัยต่างมาออกกำลังกายยามเช้า บางกลุ่มวิ่งจ็อกกิ่ง ร้องเพลง เต้นรำ โยคะ ฝึกชี่กง รำมวยไท่เก๊ก ฯลฯ ในบรรดาการออกกำลังเหล่านี้การหัดชี่กง รำมวยจีน โยคะ รวมถึงการรำไทยช้าๆ โขน ร้องเพลง วาดภาพ ศิลปะ เป็นแนวทางที่ผู้ฝึกหันมาสนใจ “ความรู้จากภายใน” ทั้งในร่างกายและจิตใจ พัฒนาการสื่อสารระหว่างความคิดของการใช้สมองและความรู้สึกของร่างกายและจิตใจให้สอดคล้องกัน คนส่วนใหญ่ที่หันมาสนใจสิ่งเหล่านี้พวกเขาจะไวต่อพลังสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยเฉพาะนักดนตรี  ศิลปิน ผู้รำนาฏลีลา จะไวต่อการรับรู้อารมณ์ของผู้คน สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำพูดนั้นคืออะไร บางคนยังไม่ทันเอ่ยปาก คนที่มีความรู้สึกไวเหล่านี้จะทราบได้ถึงความต้องการแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใน นี่คือเคล็ดลับของหมอดูพลังจิตบางคนที่มีพรสวรรค์เหล่านี้อยู่ในตัวเอง 

          มีคนจำนวนไม่มากนักที่มีพรสวรรค์เหล่านี้โดดเด่นขึ้นมามากกว่าคนทั่วไป หากนำมาใช้ในด้านทำนายดูดวงหรือเหตุการณ์ทั่วๆไปเราจะเรียกว่า “คนพลังจิต” แต่สำหรับบางคนที่มีพรสวรรค์ด้านการถ่ายทอดอารมณ์ ดักจับความรู้สึกได้ไว เข้าถึงอารมณ์ของคนทั่วไปซาบซึ้งศิลปะและธรรมชาติได้อย่างอ่อนไหว คนเหล่านี้จะโดดเด่นด้านศิลปะ ดนตรี งานประพันธ์ ที่มีชื่อเสียงในสังคม แต่เรากลับไม่เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “คนพลังจิต” แต่เราเรียกพวกเขาว่า คนที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะภายในหรือมีพลังแห่งดาราในตนเอง ซึ่งเราสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้ขึ้นมาได้ เพื่อให้ทำความเข้าใจตรงกัน ขอเรียกความรู้สึกพิเศษนี้ว่า “ภาษาพลังจิต” และภาษาพลังจิตนี้ซุกซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคน และพลังจิตเองก็มีภาษาส่วนตัวที่ไม่ได้สื่อสารด้วยคำพูด แต่จะสื่อสารด้วยความรู้สึก ภาพ สัญลักษณ์ และญาณปัญญาต่างหาก
                 


ภาษาพลังจิต : กาย คลื่นสมองและจิตใจ

          เราเป็นมนุษย์ที่อาศัย “คำพูด”  เป็นภาษาในการสื่อสารพูดคุยเจรจาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกความต้องการของตนเองให้กับคนอื่นและสังคมได้เข้าใจ ถ้าเราทดสอบดูโดยที่เรายืนเฉย หรือนั่งเฉยๆแล้วใช้ภาษาสายตาสื่อสารเพื่อบอกเพื่อนให้หยิบสิ่งของที่เราต้องการ เพื่อนอาจจะไม่เข้าใจได้ เราอาจจะต้องใช้มือชี้ไปยังสิ่งของที่ต้องการเพื่อเป็นการบอกใบ้เพิ่มเติม นี่คือลักษณะของการสื่อสารพื้นฐานของมนุษย์ที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ทาง “สัมผัสทั้งห้าของร่างกาย” และ “ภาษา” คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของการสื่อสารทำความเข้าใจของสังคมมนุษย์

          เราสื่อสารภาษาคำพูด และโดยอัตโนมัติอย่างเป็นธรรมชาติ เราจะตรวจสอบสิ่งที่รับรู้ผ่าน ตา หู จมูก ลิ้นกายและใจด้วยหลักของเหตุผล วิเคราะห์ตรวจสอบในเพียงเวลาไม่กี่วินาที เช่นถ้าเราบอกเพื่อนให้ช่วยหยิบถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงใหม่ร้อนๆจากเตาส่งมาให้ ทันทีที่เพื่อนเอื้อมมือไปหยิบสัมผัสโดนแก้วกาแฟที่ยังร้อนมากๆ จนไม่สามารถหยิบได้ ตรงนี้ที่สมองจะทำงานเร็วมาก ภายใต้เงื่อนไขของการเอาตัวรอด เพื่อนจะรีบสะบัดมือออกจากแก้วก่อนที่มือจะลวกหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุแก้วตกลงพื้นเพราะความร้อน              สิ่งเหล่านี้เป็นการทำงานร่วมมือกันระหว่าง ร่างกาย จิตปัจจุบันและสมองที่สื่อสารกันด้วย “ภาษา” แต่สำหรับบางคนที่มี “ความรู้สึกทางกายไว” ก่อนที่มือจะสัมผัสแก้วกาแฟที่ร้อน อาจจะรู้สึกถึงไอร้อน ร่างกายและสมองตระหนักว่าร้อนเกินกว่าทีจะจับด้วยมือเปล่าได้ สิ่งเหล่านี้จะถ่ายทอดเป็น “สัญญาณเตือน” ก่อนที่จะจับแก้ว ทำให้เขาอาจจะหยุดมองแก้วแล้วมองหาผ้ามาเป็นตัวกันความร้อนในการจับแก้วแทน

          ร่างกายของเราจะตอบสนองต่อคำสั่งของสมองและสมองกับจิตใจทำงานร่วมมือกัน ซึ่งสมองและร่างกายเองก็มี “ภาษา” ของตนเองที่แตกต่างไปจากภาษาที่เราคุ้นเคย ถ้าเราเข้าใจภาษาการทำงานระหว่าง “ร่างกายและสมอง” เราจะเข้าใจ “ภาษาของพลังจิต”  ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเรามากขึ้นและเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่ตื่นนอน ทำงานในชีวิตปกติ พักผ่อนและนอนใหม่อีกครั้ง การทำงานของสมองมี 5 ระดับดังนี้

 

คลื่นสมองเบต้า :  ในช่วงคลื่น 15 -40 รอบต่อวินาที (Hz)

          เราจะปรากฏคลื่นสมองเบต้าเมื่อเราตื่นตัว ทำงาน ใช้ชีวิตในสังคมปกติ  เราใช้จิตใจและสมองนึกคิด ตัดสินใจสิ่งต่างๆทั้งวัน สมองของมนุษย์จะอยู่ในช่วงคลื่นเบต้ามากกว่าคลื่นอื่นๆ ถ้ากรณีที่เราวุ่นวาย หรือใช้งานสมองมากๆ หรือเกิดความเครียดกดดัน เร่งรัด เร่งรีบ ตกใจ อยู่ท่ามกลางภัย สมองจะมีความถี่สูงได้ถึง  40 รอบต่อวินาที (Hz)
สมองช่วงเบต้าเป็นการทำงานร่วมมือกันระหว่างร่างกายและจิตใจในการรับรู้ปรากฏการณ์โลกภายนอก ถ้าเราไม่อยู่ในสมองช่วงเบต้า เราจะไม่สามารถรับรู้ หรือเรียนรู้ ทำงาน ทำหน้าที่ในโลกภายนอกได้ และภาษาเบต้าที่ใช้สื่อสารให้โลกภายนอกเข้าใจคือ “คำ พูด”  อักษรเขียน ใช้ในการสื่อสารเป็นแกนหลัก


คลื่นสมองอัลฟ่า :   ความถี่ประมาณ 9- 13 รอบต่อวินาที (Hz) 

          หากสังเกตุภาพคลื่นสมองอัลฟ่าเมื่อเทียบกับสมองเบต้า จะเห็นว่าคลื่นสมองอัลฟา มีความถี่น้อยลง ไม่ชิดติดกันเหมือนคลื่นสมองเบต้า จะพบคลื่นสมองอัลฟ่าช่วงเราผ่อนคลาย จิตใจสมดุล มีความสุข ไม่ตอบสนองแต่สิ่งเร้าด้วยความรวดเร็ว ช่วงฝันกลางวัน หรือช่วงที่เรากำลังจะเคลิ้มหลับ ช่วงใกล้นอนหลับร่างกายกำลังเข้าสู่ภาวะนอนหลับ หรือเริ่มต้นหลับใหม่ๆ สมองจะทำงานช้าลง ทำให้เกิดภาวะผ่อนคลายในร่างกาย หรือช่วงเริ่มต้นของกำลังจะเข้าสมาธิ

          เราควรทำงานด้วยสมองอัลฟ่า ทำให้เกิดความผ่อนคลายและมีความสุขในขณะทำงาน และช่วงภาวะนี้เองที่ “สมองส่วนจิตใต้สำนึก” จะเปิดเผยตัวตนของการทำงานให้จิตปัจจุบันได้เห็นและเข้าใจ ภาษาของคลื่นอัลฟ่าจะสื่อสารด้วย “ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นทางใจและร่างกาย

          เช่นเมื่อเราพักเที่ยง รับประทานอาหารอิ่มแล้วเดินไปยังสนามหญ้าเขียวขจีที่สวนร่มรื่นด้วยต้นไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้ ทำให้เรารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย จนเราล้มตัวลงนอนกับหญ้านุ่มๆใต้ต้นไม้ สายลมอ่อนๆสดชื่นพัดผ่าน ทำให้เกิดภาวะเคลิ้มหลับสบายๆ แต่หากสังเกตุดีๆ เราจะพบว่า ระบบสัมผัสทางประสาทของร่างกาย เสียง กลิ่น ความรู้สึกทางใจ จะมีความว่องไว เรายังคงรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวเหมือนลืมตาทั้งที่เราหลับตา เรามีสัมผัสทุกอย่างว่องไว ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นเต้นหรือตึงเครียด เมื่อมีอะไรเข้าใกล้ หรือมีสิ่งผิดปกติเช่นสายลม กลิ่น มีคนเดินห่างๆ เราก็รู้สึกได้ทั้งๆที่หลับตา และถ้าเราตั้งใจไว้ว่าจะงีบหลับสักนิดหน่อยใกล้ๆเวลาทำงานแล้วจะตื่น เราก็สามารถตื่นได้ตามที่คิดและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น

          สมองระดับอัลฟ่าคือประตูบานแรกของ “พลังจิต”  และภาษาของพลังจิตในระดับนี้คือการหันกลับมาใสใจเรื่อง “ความรู้สึก” ทางระบบสัมผัสทั้งห้าคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เราจะต้องเรียนรู้เรื่อง “ความรู้สึก” ล้วนๆ โดยไม่ตีค่าหรือใส่ความหมายลงในความรู้สึกนั้นว่าแปลว่าอะไร  


คลื่นเธต้า : คลื่นความถี่ประมาณ 4 - 8 รอบต่อวินาที (Hz)

          คลื่นสมองเธต้า ช่วงคลื่นจะมีความถี่น้อยลงมากกว่าช่วงอัลฟ่า จะพบอยู่ในช่วงหลับลึก หรือช่วงสมาธิที่ลึก ทำสมาธิได้ฌานลึก เมื่อออกจากสมาธิจะมีปิตีความสุขละเอียด ภาวะจิตใจจะคล้ายๆจิตใจอัลฟ่าคือมีความสุขแต่ปราณีตมากกว่า สบายใจมากกว่า เมื่อสมองเข้าสู่ระดับนี้ เหมือนเรากำลังเข้าสู่แหล่งเก็บแรงบันดาลใจ พลังความคิดสร้างสรร ศักยภาพ

          ภาวะสมองเธต้าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกธรรมชาติของเรา มนุษย์ทุกคนมีภาวะนี้อยู่ในตนเอง เพียงแต่เราไม่สามารถเข้าถึงภาวะนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ “การนั่งสมาธิ” เพื่อให้เราคุ้ยเคยกับภาวะนี้ ถ้าเราอยู่ในภาวะนี้ขณะที่ตื่นตัว หรือมีจิตสำนึก เราจะพบว่าการทำงานของเธต้านั้นทำงานผ่าน ความคิดสร้างสรรที่แตกต่างไปจากกรอบเดิม เกิดความคิดหยั่งเห็นสิ่งต่างๆกระจ่างชัด มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาญาณ มองโลกแง่ดี จดจำแม่น มีการระลึกรู้ และภาษาของเธต้าที่ใช้สื่อสารกับจิตปัจจุบันคือ “ภาพและสัญลักษณ์” 


คลื่นเดลต้า : ความถี่ประมาณ 1 – 3 รอบต่อวินาที(Hz)

          เป็นคลื่นสมองที่ช้ามาก จะเกิดคลื่นสมองนี้เมื่อเราอยู่ในภาวะหลับลึกและไม่ฝัน ใครมาปลุกช่วงนี้จะปลุกไม่ค่อยตื่น หรือเกิดจากการเข้าสมาธิลึกๆ ในระดับฌาน ร่างกายมีการพักผ่อนเต็มที่ ในด้านพลังจิตแล้ว ถ้าเราสามารถพัฒนาให้เข้าถึงระดับนี้ได้ในช่วงที่ตื่นอยู่จะเป็นการเปิดตาญาณด้านในได้


คลื่นแกรมม่า : คลืนความถี่สูงมาก ระหว่าง 40-100 รอบ (Hz)

          คลื่นแกรมม่านี้อยู่พ้นคลื่นสมองทั้งสี่แบบ ไม่เกี่ยวข้องกับทางกาย หรือรูปแบบใดๆ แต่เป็นสัมผัสพิเศษ ต้นตอของแหล่งภูมิปัญญาเดิม ที่เราสามารถเจาะเวลาในอดีต ปัจจุบัน อนาคต หรือผลักดันให้เราสนใจเรื่องราวของการพัฒนาจิตวิญญาณ ปรัชญา

 

 

ที่มา : wisdom-update

บทความที่เกี่ยวข้อง
ศาสตร์ลับเกี่ยวกับการระลึกชาติ ... อ่านต่อ
สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตาย ... อ่านต่อ
ความอัศจรรย์ของจิตมนุษย์ ... อ่านต่อ
ดูดวง / ฮวงจุ้ย
ทายนิสัย จากลายมือการเขียนตัวเลข ... BY : หมอเมท ... อ่านต่อ
คาถาทวงหนี้ คาถาอีกาวิดน้ำ ใช้สำหรับคนยืมเงินแล้วไม่คืนหรือของหาย ... อ่านต่อ
ตากระตุก ตาเขม่น ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกเรื่องราวอะไร? ... อ่านต่อ
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.