ศาสตร์ลับเกี่ยวกับการระลึกชาติ

ศาสตร์ลับเกี่ยวกับการระลึกชาติ

          ขณะนี้ผมจะมาเสนอในสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครยอมรับ ผู้ที่อ่านเรื่องนี้ก็ควรเปิดใจให้กว้างและใจ้วิจารณญาณด้วยนะครับ สำหรับตัวกระผมเองก็เคยมีประสบการณ์มาบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเปิดเผยกับใคร ผมจึงได้เตือนทุกคนที่อยู่ที่นี่ให้เปิดใจให้กว้างเข้าไว้และยอมรับทุกอย่างด้วยความสงบแห่งสมาธิ เพราะไม่เช่นนั้น คนที่จะถูกหาว่าบ้าหรื่อไม่ก็เมาอาจเป็นผมเอง

          เห็นว่าทำแบบนี้คงคิดว่าผมมันคนแก่หัวโบราณใช่มั้ยครับ อิอิ กรุณาเปิดใจให้กว้างครับเอาล่ะเริ่มกันเลย

          การระลึกชาติ เป็นหนึ่งในอภิญญา 5 ซึ่งเป็นผลของโลกียฌานที่เกิดจากการจิตที่สงบลงมากๆแ ล้วแผ่ออกไปรู้เห็นเรื่องต่างๆ การระลึกชาติไม่ได้ให้ผลทางตรงกับการพ้นทุกข์และผมมอ งการระลึกชาติว่าเป็น Side-effect ของการปฏิบัติที่อาจจะย้อนมาเป็นอุปสรรคสำหรับความก้าวหน้าในธรรมได้ เนื่องจากไปลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับการระลึกชาตินั้น =) หรือจะบอกว่าเป็นการปฏิบัติที่เกินพอดีก็ได้ครับ 

          การระลึกชาติได้นี้ พระพุทธองค์ไม่สนับสนุนและไม่ทรงสรรเสริญครับ โดยมีการกำหนดพระวินัยให้พระสงฆ์ผู้แสดงฤทธิ์อภิญญาต่อฆราวาสต้องอาบัติถึงขั้นร้ายแรงไว้ทีเดียวครับ ถ้าหลวงพ่อ หลวงปู่ท่านใดจะแสดงฤทธิ์อำนาจต่างๆต่อหน้าฆราวาส ก็ให้เข้าใจกันตามที่พระวินัยว่าไว้เถิดครับ

          ร้ายแรงขนาดไหน ลองอนุมานจากการที่พระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบการที่พระ สงฆ์แสดงอภิญญาต่อหน้าฆราวาสว่าเหมือนดังหญิงโสเภณีที่เปิดเผยของพึงสงวนเพื่อแลกกับเงินนั่นแหละครับ ผมตีความต่อเอาเองว่าต้องมีผลไม่ดีอย่างรุนแรงแน่ๆครับ ท่านถึงบัญญัติพระวินัยไว้เช่นนั้น....

          รายละเอียดวิธีการระลึกชาตินั้นอยู่ในหนังสือหน้า 980-1021 พระไตรปิฏกเล่มที่ 68 และขอสนับสนุนความคิดเห็นของคุณหนู 40 เนื่องจากการระลึกชาติในพระไตรปิฏกนั้นกล่าวไว้ว่า เป็นหนึ่งในวิชชา 8 ซึ่งประกอบด้วย 

          1) วิปัสสนาญาน
          2) มโนมยิทธิญาน
          3) อิทธิวิธิญาน
          4) ทิพยโสตญาน
          5) เจโตปริยญาน
          6) ปุพเพนิวาสานุสสติญาน หรือ การระลึกชาติ
          7) จุตูปปาตญาน
          8) อาสวักขยญาน 

          วิชชา 8 เหล่านี้ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้บุคคลที่ได้สามารถบรรลุอรหันตผล ได้เร็ว เป็นเครื่องมือที่จะทำลายการเกิดของวิจิกิจฉาในเรื่อ งทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี และทำลายนามขันธ์(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งจากที่ได้อ่านมา ในสามัญญผลสูตรเรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค จำได้ว่าประโยชน์ของปุพเพนิวาสานุสสติญาน หรือ การระลึกชาติ นั้นจะช่วยให้เรารู้ถึงอวิชชาของเราในชาติอดีตว่าเรา ทำกรรมอะไรมาจึงต้องมาเกิดในชาตินี้อีกและทำไมเราถึง ได้รับผลกรรมเช่นนี้ ส่วนจุตูปปาตญาน จะช่วยให้เราเห็นถึงชาติอนาคตว่าสิ่งที่เราทำในปัจจุ บัน(อวิชชา)จะให้ผลเป็นอย่างไรถ้าเราไม่แก้ไขปรับปรุ งตัวตามคำสอนของพระพุทธองค์ และอาสวักขยญาน จะเป็นวิชชาที่ช่วยให้เห็นและวิธีกำจัดอาสวะอันเป็นส าเหตุของอวิชชาในแต่ละบุคคล อันจะยังผลให้บุคคลนั้นสามารถถึงพระนิพพาน คือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป


ประโยชน์เกี่ยวกับการระลึกชาติ

          1) ทรงใช้ในการเล็งข่ายพระญานว่าผู้ใดจะสามารถสำเร็จมรร คผลได้ ท่านจะได้เสด็จไปเทศนาธรรมให้แก่บุคคลผู้นั้น ขอยกตัวอย่างเช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านได้ทรงเห็นแล้วว่าพระอัญญาโกณฑัญญะในชาติที่แล้ว ผู้ที่ทำบุญเป็นอันมากเป็นหลายๆชาติและในแต่ละชาติได ้อธิษฐานเพื่อที่จะเป็นพุทธสาวกองค์แรกมาตลอด ท่านจึงเสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ 
          2) ทรงใช้ในการเล็งข่ายพระญานว่าพุทธสาวกแต่ละองค์จะสำเ ร็จได้ด้วยวิธีใด เช่น พระจุฬปันถก จะสำเร็จได้ด้วยการพิจารณาผ้าขาวเนื่องจากชาติก่อนๆเ คยพิจารณาผ้าขาวมาก่อน (สามารถหาอ่านได้ในชีวประวัติของพุทธสาวกแต่ละองค์)
          3)ใช้ในการตอบปัญหาธรรมและสั่งสอนพุทธสาวกทั้งหลาย เช่นการตอบปัญหาถึงสาเหตุของวิบากกรรมของพระพุทธองค์ ในแต่ละครั้งนั้นเกิดชาติก่อนๆนั้นท่านได้ทำกรรมอะไร ไว้ หรือใช้ในการเล่าถึงพุทธบารมีของท่านว่าเกิดได้อย่าง ไร


สำหรับผู้ที่จะฝึกการระลึกชาตินั้นจะต้องคำนึงถึงว่า 

          1)ท่านอาจระลึกชาติได้เพียงชาติที่แล้ว หรือเพียงสิบชาติ 20ชาติ แต่ในแต่ละบุคคลนั้นได้เวียนว่ายตายเกิดมาแล้วหลายร้ อยหลายพันชาติ ดังนั้นสิ่งที่ท่านเห็นจึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งห มด 
          2) ชีวิตความเป็นอยู่ในชาติปัจจุบัน ของแต่ละบุคคลขึ้นกับ กรรมที่ตัดสินใจทำในปัจจุบัน วิบากกรรมในชาติที่แล้ว อาหาร 4 อินทรีย์ 22 ฌาน และมรรค(ในเหตุปัฏฐาน ของพระอภิธรรม 7 บท) ดังนั้นเราจึงอาจแก้ไขในสิ่งที่ได้ทำผิดในชาติก่อนๆไ ด้ และ 
          3) ผลของกรรมนั้นมี 12 ชนิด ดังนั้นการระลึกชาติเพียงเฉพาะจุดที่เห็นจึงไม่ถูกต้องทั้งหมด 

          ดังนั้นการระลึกชาติจึงเปรียบเหมือนยาที่กินถูกต้องแ ล้วโรคหาย แต่ถ้ากินไม่ถูกต้องก็คือยาพิษนั่นเองจริงๆตามที่คุณ หนู40ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้

 

ความเห็นของนักวิชาการ

          ผู้ศึกค้นคว้าพิสูจน์เรื่อง “การตายแล้วเกิด” กับ “การระลึกชาติ” ซึ่งผู้เขียนเคยนำเรื่องของท่านอาจารย์ผู้นี้มาเสนอไ ปเมื่อปีอาจารย์ สุตทยา ยอมรับว่า เรื่องของการระลึกชาติได้ ในรายที่เป็นเด็กนั้นที่เมืองไทยมีอยู่หลายกรณีและบา งรายก็มีความน่าเชื่อถือมาก แต่สำหรับในรายที่เป็นผู้ใหญ่นั้น เท่าที่ท่านได้ไปพิสูจน์มาแล้ว พบว่า แทบจะทุกรายที่อ้างว่าระลึกชาติได้ ไม่มีความน่าเชื่อถือ เราอาจจะคงเคยได้ยินมาว่า พระองค์นั้นระลึกชาติได้เจ้าสำนักนี้ระลึกชาติได้ ฯลฯ เป็นเรื่องจริงหรือต้มตุ๋น ลองไปคุยกับอาจารย์สุตทยาในฉบับนี้...

          “เรื่องผู้ใหญ่ระลึกชาตินี่เป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ ได้เกือบทั้งนั้น นอกจากการได้อภิญญาแบบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลักษณะอื่นๆ เชื่อถือไม่ได้ถือเป็นพวกนักต้มตุ๋มหลอกลวง พวกนี้บางคนจะอ้างว่าเขาระลึกชาติของคนที่ไปหาเขาได้ ด้วย ส่วนใหญ่จะปลอมแปลงห่มเหลืองเป็นพระเก๊เยอะ ฆราวาสหรือเจ้าสำนักต่างๆ มักจะอ้างว่าเขารู้อดีตชาติของเขาและอดีตชาติคนอื่นเ พื่อหวังประโยชน์อะไรบางอย่าง ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ทั่วทุกภาพสังเกตง่ายมาก”

          ในบางรายอาจารย์สุตทยาให้เห็นว่าผู้ที่อวดอ้างตนว่ระ ลึกชาติได้นั้นเป็นผู้ป่วยทางจิต “ลักษณะอย่างนี้น่าสงสารนะครับ พวกนี้มักจะมีอาการหลงผิดว่าตัวเองเคยยิ่งใหญ่ เช่นหลงคิดว่าเป็นพระนางเรือล่มมาเกิดใหม่บ้าง เป็นพระนางจามเทวี เป็นพระศรีอาริย์มาเกิดบ้าง ฯลฯ ดูวุ่นวายไปหมด 

          อีกพวกหนึ่งเป็นการระลึกชาติของผู้ถูกสะกดจิตซึ่งเป็ นวิธีที่คนกำลังสนใจมากจนในที่สุด ดร. เอียน ท่านได้ทำบทความวิเคราะห์ออกมาว่า การระลึกชาติภายใต้การสะกิดจิต หลังจากที่ ดร. เอียนได้รวบรวมผู้ถูกสะกดจิตมาทั่วโลกเป็นพันๆ รายก็สรุปได้ว่าผู้ถูกสะกดจิตจะระชึกชาติได้เกือบทุก รายแต่ชาติที่ระลึกได้นั้นเป็นชาติเก๊เกือบทั้งหมด จะเป็นชาติอันเกิดจากจินตนาการเหมือนแต่งความฝันขึ้น เชื่อถือไม่ได้ มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากไม่เกิน 5% ที่เป็นอดีตชาติที่แท้จริง
เพราะภายใต้การสะกดจิต คนๆ นั้นจะตกอยู่ในภวังค์เหมือนคนหลับเคลิบเคลิ้มไปและฝั น จะฝันเป็นตุเป็นตุ ซึ่งบ่อยครั้งที่สิ่งที่ตัวเองฝันนั้นเป็นไปไม่ได้เล ย เช่น คนหนึ่งระลึกได้ว่าตัวเองเคยเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 และเห็นในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จออกมาจากพระที่นั่งอนันตสมาคม เรื่องนี้ถ้าเราไปตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็จ ะเป็นไปไม่ได้ เพราะพระที่นั่งอนันตสมาคมเพิ่งสร้างเสร็จในสมัยรัชก าลที่ 6 สมัยรัชกาลที่ 5 ยังไม่มีพระที่นั่งอนันตสมาคมเลย รัชกาลที่ 5 ท่านเพียงแต่เสด็จฯไปวางสิลาฤกษ์เท่านั้นและพอสร้างไ ด้นิดๆ หน่อยๆ ท่านก็เสด็จสวรรคตแล้ว” 

          เคยมีนักเขียนนวนิยายบางคนที่อ้างว่าตนระลึกชาติได้ อาจารย์สุตทยาได้ตั้งขอสังเกตที่น่าสนใจว่า “นักเขียนนวนิยายหรือนักแสดงอาชีพ เป็นอาชีพพิเศษที่ต้องใช้การจินตนาการตลอดเวลา คนเหล่านี้เขาจะอยู่ในโลกของจิตนาการ นักแสดงนี้เวลาจะแสดงเขาจะต้องเข้าบทอยู่ในโลกของจิน ตนาการเหมือนการสะกดจิตตัวเอง พอเดินเข้าฉากปั๊บเขาคือตัวละครตัวนั้น และพวกศิลปินวาดภาพ ปั้นรูปประติมากรรมก็ต้องสร้างจินตนาการด้วยเหมือนกั น เพระฉะนั้นคนเหล่านี้จะระลึกชาติได้ง่ายมาก เพราะจิตเขาทำงานโอเวอร์ไทม์ จิตทำล่วงเวลา พอถึงเวลาที่เขาหยุดแสดง หยุดเขียนนิยาย หยุดปั้นหรือหยุดวาดเนี่ย จิตเขายังไม่หยุดนะครับ เพราะฉะนั้นคนที่มีอาชีพเหล่านี้ถ้าบอกว่าระลึกชาติไ ด้ พวกที่อยู่ในวงการวิชาการจะไม่เชื่อถือ

          พวกที่ทำสมาธิ อันนี้ก็มีนิมิตเกิดขึ้นมากมายในสมาธิ นิมิตเหล่านั้นส่วนใหญ่เห็นเรื่องไม่จริงนะครับ มันเป็นมายาปรุงแต่ง ถ้าใครไปเชื่อว่าตัวเองระลึกชาติได้ภายใต้สมาธิที่ตั วได้นิ ดๆ หน่อยๆ นี่ก็จะหลงทาง บางคนหลงไปเลยนะครับ ซึ่งส่วนมากจะนึกใหญ่ๆ โตๆ เช่นมักจะนึกว่าตัวไปเกิดร่วมสมัยรัชกาลที่ 5 บ้าง เกิดร่วมสมัยพระเจ้าตากสินหรือพระนเรศวรบ้าง ไม่ค่อยมีใครที่ระลึกชาติว่าไปเกิดเป็นชาวไร่ชาวนาหร อก และมีข้อสังเกตอยู่อย่างนึงสำหรับผู้ใหญ่ที่สำคัญตนเ องว่าระลึกชาติได้เนี่ย เวลาเขาเล่าเรื่องระลึกชาติของเขาที่แม้ไม่จริงแต่บ่ อยครั้งเขาก็บริสุทธิ์ใจที่คิดว่าเขาระลึกชาติได้คือ พูดง่ายๆ ว่าบางคนที่ทำสมาธินี่มักสำคัญตนผิดคิดว่าตัวเองได้ถึงขั้นฌาณหรืออภิญญา ทั้งที่จริงจากไปตรวจสอบไปคุยด้วยมักจะไม่ถึง มักได้เฉียดๆ อุปจารสมาธิเท่านั้นเอง พวกนี้เตือนยากครับใครไปทักเขามักโกรธเพราะเขาจะภาคภูมิใจที่เขามีนิมิตระลึกชาติได้ ซึ่งผมก็ไม่บังอาจไปเตือนเขา”

          แล้วบุคคลท่านได้เล่าที่บอกว่าระลึกชาติได้แล้วน่าเชื่อถือในสายตานักวิชาการผู้ศึกษาค้นคว้าเรืองนี้โปรด ติดตามอาจารย์สุตทยาต่อไป...

          อาจารย์สุตทยาได้กล่าวถึงผู้ใหญ่ที่ระลึกลึกชาติได้ที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ “ผู้ที่ได้อภิญญา”

          “ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานได้ถึงระดับอภิญญา ที่ระลึกชาติได้แน่นอน แต่ในสังคมยุคปัจจุบันนี้มีปัญหาว่าใครได้ตัวนี้บ้าง ผมยังไม่เคยพบ ได้ข่าวคราวมาบ้างแต่ว่าหายากมาก เรื่องของ ฌาน หรืออภิญญาทำได้ยากมาก ผู้ที่ทำจะต้องอยู่ในสถานที่สงบ วิเวก ต้องอยู่ตามเขาตามถ้ำเพียงลำพัง เพราะฉะนั้นเวลาจะไปพบไปตั้งต้นหาเนี่ยยาก”


คำว่า “อภิญญา” นั้นคือความรู้อันวิเศษในพระพุทธศาสนามีอยู่ 6 อย่างด้วยกันคือ 

          1.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ 
          2. ทิพโสต หูทิพย์ 
          3. ทิพจักขุ ตาทิพย์ 
          4. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่น 
          5. อาสวักขยญาณ ทำอาสวะให้สิ้นไป 
          6. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ 

          ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมในขั้นสูงบางท่านอาจได้ถึงระดั บอภิญญานี้และสามารถระลึกชาติย้อนกลับไปได้เป็นพันเป็นหมื่นชาติเหมือนในครั้งพุทธกาลที่องค์สมเด็จพระสัม มาสัมพุทธเจ้าทรงทำได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและในเรื่องนี้

          “เรื่องการระลึกชาติหรือการจำอดีตชาติได้เนี่ยมีคุณป ระโยชน์เป็นอันมากในทางจิตวิทยา ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ว่า ความชอบ ความชัง นั้นเกิดจากอะไร บางครั้งเราเจอคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำไมเจอปั๊บถึงถูกชะตาปุ๊บ มันอาจเป็นไปได้ว่าเราเคยรู้จักกันมาหลายภพหลายชาติแ ล้ว หรือทำไมเจอคนบางคนแล้วรู้สึกเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แร กเป็น อะไรอย่างนี้นะครับ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องศึกษาและค้นคว้าในเรื่องนี้กัน ต่อไป ส่วนตัวผมเอง ผมเคยอธิษฐานจิตอยู่เสมอๆ ให้ผมระลึกชาติได้ ทุกวันนี้ผมยังระลึกไม่ได้เลย(หัวเราะ)”

          ในตอนท้ายนี้อาจารย์สุตทยาได้เล่าถึง ประสบการณ์ทางวิญญาณให้เราฟัง เรื่องหนึ่งอันเป็นเรื่องที่ท่านพบเห็นด้วยตัวเอง เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่ท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม...

          “เรื่องของวิญญาณผมก็เคยเจอคืนมีอยู่วันหนึ่งได้มีบุ คคลเข้ามาในห้องผม แล้วทำให้ผมเข้าใจว่าเป็นขโมย ตั้งแต่ตอนผมอายุประมาณ 21 ปี ซึ่งตอนนั้นผมเข้าใจแน่ว่าเป็นขโมย เขาเดินเข้ามาในห้องในตอนกลางคืน แล้วหายเข้าไปในตู้เสื้อผ้าผม เงียบหายไปเลย นานมาก ผมก็ผิดสังเกต ตอนนั้นผมนอนอยู่บนเตียง ก็เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟ ดูกลอนทั้งประตูทั้งห้องน้ำก็ล็อคกลอนไว้หมด ผมก็รู้ว่าไม่ใช่คนแล้ว และพอเปิดตู้ดูตู้นั้นเป็นที่เก็บหนังสือจากงานศพไง เป็นร้อยๆ งานเลยนะ ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นศพไหน ไม่รู้เจ้าของงานไหนมาเยี่ยม แต่พอหยิบเล่มบนออกมาดูน่ะผมถึงรู้เลยว่าต้องเป็นศพข องคนๆ นั้นแน่ เพราะผมขอเขามาหลายเล่า แล้วมาฉีกประวัติผู้ตายที่มีภาพผู้ตาย ฉีกทิ้งหมดเพราะผมต้องการเพียงเนื้อหาสาระเอาไปใช้สอ นเด็ก แล้วผมรู้ว่าเด็กที่ผมสอนนั้นกลัวผี ผมก็เลยฉีกรูปโลงศพ รูปพวงหรีดทิ้งซะ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยรู้จักผู้ตายเลย ท่านคือพระยาผดุงวิทยาเสริม วิญญาณท่านคงมาตำหนิผมน่ะว่าไปฉีกประวัติท่านทิ้ง แต่ในตอนนั้นผมก็ยังไม่แน่ใจทีเดียวว่าเป็นท่าน

          ต่อมาผมให้คุณแม่พาผมไปหาคุณหญิงของท่าน ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมให้ท่านฟังก่อนเล ยนะว่าท่านมาเยี่ยม ผมไปถามคุณหญิงหน่อยเดียวว่า นับแต่ท่านเจ้าคุณท่านล่วงลับไปแล้วเนี่ย เคยมีใครติดต่อท่านได้บ้างหรือเปล่า คุณหญิงหัวร่อชอบอกชอบใจบอกว่าทุกคนในบ้านน่ะเห็นท่า นหมด ท่านมาประจำมาบ่อยลองไปคุยสิ คนซักผ้า แม่ครัว คนขับรถ คนสวน เคยเห็นท่านมาเดินอยู่ในบ้านเป็นประจำทุกวัน ผมก็หัวเราะบอกว่า โอ๊ย...ท่านไม่ได้มาเดินในบ้านท่านอย่างเดียว ท่านมาเดินในบ้านผมด้วย เพราะผมบังอาจไปฉีกประวัติท่านทิ้ง (หัวเราะ)ท่านมาเหมือนคนเลยนะครับ”
ความมหัศจรรย์ของวิญญาณที่หลายท่านได้พบเห็นหรือสัมผัสนั้นทำให้เราได้เข้าใจโดยถ่องแท้ว่าเมื่อมี “วิญญาณ” ก็ย่อมมีชีวิตหลังความตายอยู่จริงๆ ส่วนใครจะอยู่สุขสบายหรือทุกข์ทรมานอยู่ในภพภูมิใดนั ้นก็เป็นเรื่องของ “ผลแห่งกรรม” ที่ทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ดังนั้น...มาเร่งสร้างกรรมดีไว้มากๆ ดีกว่า เพื่อว่าชาติหน้าหรือชาติไหนๆ เราจะได้ไม่ต้องกลับมา “เวียนว่ายตายเกิด” อีก

 

 

thaigaming.com

บทความที่เกี่ยวข้อง
แบบทดสอบค้นหาเนื้อคู่ จากการระลึกชาติ ... อ่านต่อ
สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตาย ... อ่านต่อ
ความอัศจรรย์ของจิตมนุษย์ ... อ่านต่อ
ดูดวง / ฮวงจุ้ย
ทายนิสัย จากลายมือการเขียนตัวเลข ... BY : หมอเมท ... อ่านต่อ
คาถาทวงหนี้ คาถาอีกาวิดน้ำ ใช้สำหรับคนยืมเงินแล้วไม่คืนหรือของหาย ... อ่านต่อ
ตากระตุก ตาเขม่น ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกเรื่องราวอะไร? ... อ่านต่อ
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.