อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี (ตอน 2)

อาถรรพ์ป่าคำชะโนด

ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี

 

หลวงปู่คำตา : ไปประกวดชายงามที่เมืองบาดาล

           จากบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท  บุรีเพีย  อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง  เล่าไว้ว่า  หลวงปู่คำตา  ศิริสุทโธ  ชื่อเดิม   นายคำตา  ทองสีเหลือง   ท่านเกี่ยวข้องกับพญานาค  โดยชาวบ้านเชื่อว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าปู่ศรีสุทโธหรือพญาศรีสุทโธนาค  พญานาคผู้ครองเมืองคำชะโนด   ท่านเป็นชาวบ้านวังทอง  ตำบลวังทอง  อำเภอบ้านดุง  จังหวัดอุดรธานี  มีหลายเรื่องเล่าแปลกประหลาดเกี่ยวกับตัวท่าน
           วันหนึ่งท่านกับเพื่อน ๆ ไปซักผ้าที่กลางดงคำชะโนด  ขณะที่ตักน้ำอยู่นั้นก็มองเห็นปลาไหลตัวใหญ่  มีตาแดงกร่ำโผล่ขึ้นมาให้เห็น  ท่านจึงเรียกให้เพื่อน ๆ มาดู  แต่ปลาไหลตัวนั้นมุดลงในบ่อน้ำไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้เกิดคลื่นน้ำสะเทือนอย่างน่ากลัว 
           เมื่อถึงฤดูฝนชาวบ้านพากันออกไปยกยอปลาในลำห้วยใกล้ ๆ บ้าน  ขณะที่ยกยออยู่นั้นก็เกิดสิ่งประหลาดกับนายคำตา  รู้สึกคล้ายมีปลาตัวใหญ่เข้ามาอยู่ในยอ จึงรีบยกยอขึ้น  แต่เมื่อยกยอเหนือพ้นน้ำสิ่งที่อยู่ในยอนั้น  แทนที่จะเป็นปลาตัวใหญ่กลับกลายเป็นเต้าปูนที่เขาใช้บดปูนกินกับหมาก  เมื่อจะยื่นมือลงจะจับดู  เต้าปูนนั้นก็ดิ้นเหมือนปลาและกระโดดลงน้ำหายไป
           เมื่ออายุครบ 20 ปี  นายคำตาก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านวังทอง  เรื่องผิดปกติก็ได้เงียบหายไป  บวชอยู่ 3 พรรษาก็สึกออกมา
           ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ทิดคำตาหรืออาจารย์คำตา  ออกไปเกี่ยวข้าวในนาที่บ่อผักไหม  ซึ่งห่างจากคำชะโนดประมาณ 200  เมตร  เมื่อหยุดพักจากการเก็บเกี่ยวข้าวก็เดินไปที่กระท่อมที่ปลูกไว้สำหรับพักและเฝ้านา  พอเดินไปใกล้กระท่อมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่บนกระท่อมโดยหันหลังให้  เมื่อเธอผู้นั้นหันหน้ามาก็เห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อนอายุราว 25 ปี  จึงเอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นว่า
           “นางมาจากไหน  จะมาหาใคร”  
           หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า“มาหาอาจารย์คำตา  เพราะว่าเห็นพวกผู้หญิงเขาลือกันว่าเป็นผู้ชายงามรูปหล่อ ”
           “บ้านนางอยู่ที่ไหนล่ะ”
           “อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่ว ๆ ไป”
           พอได้ฟังดังนั้นความกลัวก็เกิดขึ้นจึงตอบกลับไปว่า
           “ข้ารู้จักอาจารย์คำตาและสนิทสนมกันดี  บ้านอยู่ใกล้กันด้วย  จะไปบอกเขาให้นะ”
           กล่าวจบแล้วอาจารย์คำตาก็รีบเดินหนีไป  กลับเข้าไปในนาแล้วเล่าให้พี่เขยและญาติฟัง  จึงพารีบมาดูที่กระท่อม  แต่ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นได้หายไปแล้ว  ญาติพี่น้องจึงเป็นห่วงอาจารย์คำตาเนื่องจากมีเหตุการณ์แปลก ๆ  กลัวจะเกิดอันตรายจากสิ่งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงหาวิธีป้องกัน
           ขั้นแรกญาติพี่น้องให้เปลี่ยนชื่อ  โดยเปลี่ยนจาก  “คำตา” เป็น  “สุภาพ” ให้ทุกคนเรียกชื่อใหม่อย่าเรียกชื่อเก่า
           ขั้นที่ 2  จัดพิธีแต่งงานหลอก ๆ กับญาติผู้หญิงชื่อนางสาวทองคำ  สองพาลี
           ขั้นที่ 3  แต่งงานแล้วก็ย้ายหนีออกจากบ้านวังทองไปอยู่วัดบ้านหนองกา โดยไปขออาศัยอยู่กับท่านครูคำหรือพระครูสุภารโสภณ  เป็นเวลา 7 วัน  แล้วจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านวังทองตามเดิม
           ต่อมาอีก 2  เดือนญาติพี่น้องก็ได้ไปสู่ขอสาวบ้านเดียวกันจัดพิธีแต่งงานจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง  ชีวิตการครองเรือนดำเนินไปอย่างมีความสุข  จนกระทั่งภรรยาตั้งท้องและคลอดลูกชายคนแรก
           ประมาณเดือน 12 น้ำเริ่มลดลงฝั่ง  ในคืนหนึ่งอาจารย์คำตานอนหลับแล้วฝันไปว่า  เจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาหาที่บ้านเพื่อขอร้องให้ตนไปประกวดชายงามที่เมืองบาดาล  แต่ตนไม่ได้ตอบตกลง
           คืนต่อมาก็ฝันอย่างเดียวกันอีก  เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ถามถึงเหตุผลที่ไม่ยอมไปประกวดชายงาม  มีเหตุขัดข้องประการใดขอให้บอก  อาจารย์คำตาจึงตอบตรง ๆ ไปว่า  มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือ  “กลัว” กลัวจะพลัดพรากตายจากครอบครัว
           เมื่อทราบปัญหาอย่างนั้น  เจ้าปู่ศรีสุทโธก็ตอบตกลงปกป้องคุ้มครองและรับประกันว่าจะให้กลับมาอยู่กับลูกเมียแน่นอน  เมื่อเจ้าปู่ศรีสุทโธขอร้องหนัก ๆ และรับประกันอย่างแข็งขัน  อาจารย์คำตาจึงตอบตกลงไปประกวดชายงามตามคำขอ  โดยขอร้องเจ้าปู่ศรีสุทโธว่า  เมื่อประกวดเสร็จแล้วจะต้องรีบนำตัวกลับมาส่งบ้านโดยเร็ว  เจ้าปู่ศรีสุทโธก็รับที่จะปฏิบัติตามคำขอทุกอย่างและนัดวันเวลาที่จะมารับเรียบร้อย
           เมื่อเล่าความฝันให้ภรรยาและญาติฟัง  ทุกคนทั้งชาวบ้านที่ได้รู้เรื่องต่างก็เกิดความวิตกกังวลกลัวว่าอาจารย์คำตาจะตายจากไปอยู่กับเจ้าปู่ศรีสุทโธในเมืองบาดาล  จึงช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด
           พอถึงวันกำหนดนัดหมายเจ้าปู่ศรีสุทโธจะมารับตัวไปประกวดชายงาม  ผู้ใหญ่บ้านได้ประกาศห้ามบรรดาลูกบ้านทุกคนออกนอกเขตหมู่บ้าน  จนถึงเวลานัดหมาย  เหมือนมีสิ่งดลใจให้ชาวบ้าน  เกิดความสบายใจพากันกลับบ้านของตนเหลืออยู่บ้านอาจารย์คำตาเพียงไม่กี่คน
           ทันใดนั้นเอง  อาจารย์คำตาซึ่งนอนพักอยู่บนเรือนได้ลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดลงบันได  ตรงไปทุ่งนาใกล้ลำห้วยทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน  ญาติพี่น้องและชาวบ้านที่เหลืออยู่เห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด  แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  ร่างกายของอาจารย์คำตาหายวับไปกับตา  ทั้ง ๆ ที่เป็นทุ่งนาโล่งแจ้งไม่มีต้นไม้พอที่จะบังร่างของคนหนึ่งคนได้เลย   ทุกคนตกใจค้นหาหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไมพบ  จึงปรึกษากันไปตามหมอดูและหมอธรรม (ร่างทรงภาคอีสาน) เมื่อดูแล้วก็บอกให้ทราบว่า   เจ้าปู่ศรีสุทโธมารับไปประกวดชายงามแล้วและปลอดภัยดีไม่เป็นอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

           จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันรุ่งขึ้นก็พบร่างอาจารย์คำตานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนคันนาตรงจุดที่หายไป  จากนั้นจึงทำการรักษาในหมู่บ้านอยู่นานจึงคืนสติคืนมา
           พอฟื้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า  เมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าปู่ศรีสุทโธได้นำพาหนะชนิดหนึ่งมารับที่บ้าน  มีลักษณะคล้ายอู่สวยงามแต่บินได้  เจ้าปู่พาบินไปทางทิศเดียวกับเมืองคำชะโนด
           เมืองนั้นสวยงามมาก  มีปราสาทมีบ้านเรือนมากมาย  อู่ยนต์ได้บินไปปราสาทที่สวยงามที่สุด  ซึ่งเป็นปราสาทของเจ้าปู่ศรีสุทโธนั่นเอง  เมื่อถึงปราสาทก็ลงจากอู่ยนต์  เข้าไปในห้องหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวยงามซึ่งเจ้าปู่เตรียมไว้ให้แล้ว  เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย  เจ้าปู่ก็สอนวิธีการเดินและการวางตัวบนเวทีประกวดให้อย่างละเอียด  พอได้เวลาเจ้าปู่ก็พาเดินไปยังเวทีประกวดซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่มากและมีคนเฝ้าชมงานประกวดมากมาย
           การประกวดปรากฏว่าอาจารย์คำตาได้ตำแหน่งชนะเลิศ  เมื่อประกวดเสร็จกรรมการก็มอบรางวัลให้แต่ท่านไม่รับ  กรรมการได้ขอร้องให้ท่านไปประกวดต่อที่ปากกระดึงและปากงึมซึ่งจัดงานเหมือนกัน  แต่เจ้าปู่ศรีสุทโธไม่อนุญาต  เพราะต้องรีบนำอาจารย์คำตาส่งกลับบ้านตามที่สัญญาเอาไว้  แล้วเจ้าปู่ก็พาขึ้นอู่ยนต์ลำเดิมเดินทางกลับบ้าน 
ต้นเดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ.2530  ในคืนวันพระ  ขณะที่ท่านรักษาศีลอยู่ในวัดท่านก็ฝันไปว่า  เจ้าปู่ศรีสุทโธมาขอร้องให้ท่านบวชแต่การพูดจายังไม่เป็นที่ตกลงกัน  เพราะใจท่านยังไม่อยากบวช  ยังเป็นห่วงลูกหลานอยู่
           ในวันพระที่ 2  ท่านก็ฝันว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาขอร้องให้ท่านบวชอีก  แต่ท่านก็ยังไม่ตกลงจนถึงวันพระที่ 3   เจ้าปู่ได้มาเข้าฝันอีก  แต่คราวนี้อาจารย์คำตารู้สึกโล่งใจ  คล้ายมีอะไรมาดลใจ  จึงตกปากรับคำจะบวช  เมื่อตกลงแล้วท่านก็แนะนำเรื่องที่จะบวช   ให้เข้านาคโกนหัวให้นุ่งขาวห่มขาวในวัน 12 ค่ำ  เอาฝ้ายที่จะผูกข้อมือนาคในวันบายศรีสู่ขวัญนาคไปแขวนไว้ในศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธในคำชะโนด  และให้บวชในวันพระขึ้น  15 ค่ำ ซึ่งเจ้าปู่ศรีสุทโธก็จะร่วมพิธีและอนุโมทนาในการบวชครั้งนี้ด้วย  การบวชครั้งนี้อาจารย์คำตามีอายุมากแล้วชาวบ้านจึงเรียกหลวงปู่คำตา  และมีนามสมญาพระว่า “ศิริสุทโธ” 
           หลวงปู่คำตาบวชและจำวัดอยู่ที่วัดบ้านวังทองได้ระยะหนึ่งก็ย้ายมาตั้งสำนักสงฆ์ใกล้ ๆ คำชะโนด  และได้พัฒนาบุกเบิกก่อตั้งพัฒนาจนมีความเจริญตั้งเป็นวัดชื่อ  “วัดศิริสุทโธคำชะโนด”   
           คืนหนึ่งในระหว่างกลางพรรษาได้ฝันว่าหลวงปู่พาเข้าไปในคำชะโนดไปดูทรัพย์สินทั้งหมดในเมืองคำชะโนด  เสร็จแล้วก็นำหลวงปู่คำตาขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่ซึ่งมีคนนั่งรอจำนวนมากประกาศให้ทุกคทราบ
           “นี่คือลูกชายของเจ้าปู่  ต่อไปนี้ทรัพย์สินและการปกครองเมืองคำชะโนดนี้จะยกให้ลูกชาย  ขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ในความปกครองของลูกชายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
           หลวงปู่คำตาได้อาพาธและได้มรณภาพ  วันที่ 15  สิงหาคม พ.ศ. 2533

 

 

คำชะโนด : ป่าผืนสุดท้ายต้นไม้ 2,000 ปี

           บนพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด  ชาวอำเภอบ้านดุงต่างเคารพนับถือและยึดถือปู่ศรีสุทโธและคำชะโนดเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  คำชะโนดในภาษาถิ่น คำ คือ ที่ที่มีน้ำซับไม่เคยเหือดแห้ง  เมืองคำชะโนดอธิบายให้เห็นภาพมีลักษณะเป็นเกาะลอยอยู่บนน้ำ  ภายในมีสภาพเป็นป่าพรุดิบชื้น  มีต้นไม้แปลกประหลาดที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นชะโนด  มีลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวและต้นหมากอย่างละเท่า ๆ กัน ซึ่งมีอยู่ที่เดียวในโลก แต่ละต้นเรียวยาวสูงเสียดฟ้า  ส่วนพื้นดินมีสีดำเปียกชื้นตลอดเวลา มีเฟิร์นขึ้นปกคลุมหนาทึบแดดแทบจะไม่ส่องถึงพื้น  และยังมีต้นไม้ใหญ่กับต้นไม้เล็กขึ้นแซมหลายชนิด
           คำชะโนดนับว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ผืนสุดท้ายของประเทศไทยที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์  เมื่อถึงฤดูน้ำหลากเกาะคำชะโนดนี้จะลอยได้ เมื่อมีน้ำท่วมบนพื้นที่หน้าวัดศิริสุทโธ  แต่ไม่ท่วมเกาะคำชะโนด  แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว  
           นายทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าว่า
           “เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง  อาจจะเป็นใบแห้ง ๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด”
           เคยมีนักวิชาการจากกรุงเทพฯ  ได้ไปทำการสำรวจต้นชะโนดมาแล้ว  โดยให้ข้อมูลว่าต้นชะโนดที่เห็นอยู่ในเกาะคำชะโนดนำไปพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า  ต้นไม้ชนิดนี้อายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี
มีพระภิกษุทำพิธีพลีขอเอามาจากเมืองคำชะโนด  เพื่อนำมาปลูกดูภายในวัด  ท่านกล่าวว่า  โดยนำเอาตั้งแต่ยังเป็นผล  เมื่อนำมาปลูกดูนั้นก็เห็นจริงว่าต้นชะโนดเป็นต้นไม้ที่โตช้ามาก  ปลูก 2 ปียังต้นเล็กเท่าต้นกล้า  ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการยืนยันว่าการที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าต้นไม้ชนิดนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จึงน่าจะเป็นเรื่องจริง
           แรกเดิมทีทางเข้าดงคำชะโนดสะพานทำขึ้นด้วยไม้  เมื่อโดนแดดโดนฝนก็ผุพังจึงมีการร่วมกันทอดผ้าป่า สร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทอดตัวยาวจากพื้นที่วัดศิริสุทโธลอดผ่านซุ้มโขงประตูเมืองเข้าไปในคำชะโนด  ปัจจุบันมีการสร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นรูปปั้นพญานาคเจ็ดเศียรสองตัวทอดตัวบนราวสะพานเข้าไปยังคำชะโนด  ที่น่าแปลกก็คือสะพานทำไว้เป็นสองตอนไม่ได้ทอดยาวถึงเมืองคำชะโนด  จะมีช่วงที่สะพานเว้นช่วงขาดหนึ่งผ่ามือบริเวณทางเข้าเมืองคำชะโนด  ชาวบ้านเล่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้มนุษย์กับพญานาคเชื่อมต่อกันก็เลยทำให้สะพานแตกหัก

           นายอุทัย ไพเราะ อายุ 59 ปี แต่งกายในชุดสีขาวซึ่งเป็นจ้ำปู่ศรีสุทโธ(ร่างทรงทางภาคอีสาน)  เล่าว่า
           “ตอนช่างมาทำสะพานเชื่อมกันเข้าไปในคำชะโนดสร้างกี่ครั้งสะพานก็เกิดพังทลาย ซ่อมกี่ครั้งก็ยังพังเหมือนเดิม  กลางคืนเจ้าปู่ศรีสุทโธก็ได้มาเข้าฝันและบอกว่า  ให้เว้นช่องขาดระหว่างสะพานไว้  เพราะว่าเส้นทางระหว่างโลกมนุษย์จะเชื่อมต่อเส้นทางเมืองบาดาลไม่ได้ และให้ถอดรองเท้าก่อนถอดหมวกด้วย  เพราะใส่รองเท้าเข้ามานั้นบางคนเหยียบสิ่งสกปรกเข้าไปในเมืองหากไม่ทำตามแล้วจะทำให้ทุกคนที่เข้ามาได้เจ็บได้ไข้   เมื่อก่อนใครจะใส่เสื้อผ้าสีแดงเข้ามาคำชะโนดไม่ได้ต้องมีอันเป็นไปทุกราย ภายหลังปู่ศรีสุทโธจึงอนุโลมให้มีผ้าสีแดงเข้ามาได้  เปลี่ยนเป็นให้ถอดรองเท้ากับหมวกไม่ให้พูดจาหยาบคายและห้ามนำสิ่งใดออกไปจากป่าคำชะโนด  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ  และแต่ก่อนใครมาหาปลาหาของป่าแถวนี้ต้องขอปู่ศรีสุทโธก่อน  บางคนทอดแหหาปลาบอกกับปู่ศรีสุทโธว่าขอปลาช่อนตัวใหญ่ ๆ สักตัวก็พอ ผลปรากฏว่าทอดแหก็ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มา  ทุกคนก็จะได้ เพียง 1 ตัว เหมือนกันแถมขนาดตัวปลาช่อนยังมีขนาดเท่ากันด้วย”
           ผมไปถึงทางเข้าคำชะโนดและเดินไปตามทางเข้าสะพานคอนกรีตที่สร้างใหม่  หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาที่นี่มันเหมือนกลับมาย้อนอดีตวันวานชีวิตที่ผ่านมา  บริเวณโดยรอบมีการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อการท่องเที่ยว  สะพานที่สร้างเข้าไปยังคำชะโนด มีการยกราวขึ้นสูงสะพานจนมองไม่เห็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทางเข้าสองข้างทางสะพาน  ผมเขย่งเท้ามองดูธรรมชาติรอบ ๆ ทางเข้าแต่ก็มองไม่ถนัดนัก  เมื่อก่อนราวสะพานเป็นเสาปูนราวเหล็กโล่งสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมและธรรมชาติรอบ ๆ อย่างสวยงามมาก  แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือรอยขาดระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล 
           เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณคำชะโนดความเย็นไต่ขึ้นมาจากปลายเท้าจรดหัวทำให้ขนลุก  ป่าคำชะโนดเป็นป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์   มีค้างคาวร้องส่งเสียงทั่วป่า  กระรอกวิ่งบนต้นชะโนดกระโดจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง  บริเวณบางจุดจะมีกลิ่นฉุนอับชื้นจากมูลสัตว์  ผมเดินเข้าไปศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธและจุดธูปเทียนดอกไม้บูชา  ท่องคาถาบูชาเจ้าปู่ศรีสุทโธ  “กายะจิตตัง  อะหังวันทา  นาคาธิบดีศรีสุทโธ  วิสุทธิเทวา  ปูเชมิ”   ที่เขียนในป้าย  จากนั้นผมเดินไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ตักน้ำในบ่ออธิฐานขอพรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองแล้วนำน้ำมาลูบหัว
           ชาวบ้านเชื่อว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คือทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  น้ำในบ่อจะมีปริมาณเท่าเดิมอยู่อย่างนั้นและจะขังตลอดปี  ไม่เคยแห้ง  เคยมีชาวบ้านนำไม้ไผ่ยาว ๆ มาต่อกันยี่สิบกว่าลำไม่สามารถหยั่งถึงก้นบ่อน้ำได้  ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่สะดือแม่น้ำโขงหรือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาส จังหวัดหนองคาย
           จากที่พ่อเล่าให้ฟัง  แรกเดิมทีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น  ต่อมาเกาะคำชะโนดได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจึงมีการขยายขอบบ่อออกขนาด 5 x 5 เมตร  ขอบบ่อหล่อคอนกรีตสูงประมาณ  60  เซนติเมตร  สามารถนำกระบวยกะลามะพร้าวก้มลงตักน้ำจากบ่อได้  ปัจจุบันมีการสร้างพญานาค 7 เศียรโอบรอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  มีน้ำพ่นออกจากปากพญานาคหัวตรงกลางลงมายังบ่ออ่างน้ำวงกลมที่สร้างไว้เพื่อรับน้ำให้คนมาตักไปล้างหน้าและดื่มกิน
           ที่บ่อน้ำแห่งนี้บางเวลาจะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังหายใจอยู่ใต้น้ำ  ชึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการหายใจของพญานาคจึงทำให้เกิดเป็นฟองอากาศผุดขึ้นมาให้เห็น  ต่อมามีสิ่งอัศจรรย์คือรูปปั้นพญานาคและพญาจระเข้ลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ทั้งที่รูปปั้นต้องใช้สองมือยกจึงจะยกขึ้น  นับว่าเป็นเรื่องแปลกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก  
           น้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เมื่ออธิฐานนำมารักษาโรคก็จะหาย   แต่ก่อนจะนำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปใช้นั้น  ต้องท่องคาถาบูชาสักการะเจ้าปู่ศรีสุทโธก่อน  เพื่อเป็นการขอได้อย่างถูกวิธีแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาอยู่   ทั้งยังเป็นการทำให้น้ำ  เปี่ยมไปด้วยเทวฤทธิ์จากนาคทั้งหลายที่มีฤทธิ์อันเป็นทิพย์  และที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือเทศกาลออกพรรษาบางครั้งจะ  มีลูกไฟประหลาดพุ่งขึ้นจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับบั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคาย
           ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ คำชะโนดเล่าว่า  มักจะพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในมิติลี้ลับอยู่เสมอ เช่น เห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญ มีผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอผ้าจากชาวบ้าน  และเห็นรอยพญานาคขึ้นภายในบริเวณวัดและใกล้ๆเกาะคำชะโนด
           เมื่อคราวที่จัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 5 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท้องสนามหลวง เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530 น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ “คำชะโนด” ได้รับเลือกไปร่วมงานพระราชพิธี ดังกล่าว
           ผมเดินจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมานั่งไหว้อธิฐานลูบคล้อง  ซึ่งเชื่อว่าใครลูบฆ้องและเกิดเสียงแสดงว่าเป็นคนมีบุญ   ผมลูบตรงกลางหลุมฆ้องเบาปรากฏว่าเริ่มมีเสียงดังออกมา  เมื่อยิ่งลูบเร็วและแรงเสียงฆ้องยิ่งดังสนั่นก้องทั่วป่าคำชะโนด
           เกาะคำชะโนดยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีวิทยาศาสตร์ที่พยามจะพิสูจน์ว่าเกาะนี้มันลอยน้ำได้อย่างไร

 

 

 

วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ

           วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีการค้นหาเพื่อจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ  ครั้งหนึ่งมีการพิสูจน์บั้งไฟพญานาคที่โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย  ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติหรืออะไรกันแน่  แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จนวันนี้   แต่ทุกครั้งที่วิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องสิ่งต่าง ๆ นั้นจะจะต้องต่อสู้กับความเชื่อของคนในพื้นที่ที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาลที่สืบทอดกันมา บางครั้งก็มีเรื่องขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว  ส่วนคำชะโนดก็เช่นเดียวกัน    มีคณะนักวิชาการนักวิทยาศาสตร์และทีมงานจากรายการเรื่องจริงผ่านจอได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาคำตอบความมหัศจรรย์ของเกาะนี้ว่าลอยน้ำได้อย่างไร  เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์หรือธรรมชาติสร้างขึ้นกันแน่
           ร.ศ.ฤดีมล  ปรีดีสนิท  นักวิชาการผู้ศึกษาวิจัยเกาะคำชะโนด  กล่าวว่า  “เกาะนี้เป็นเกาะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ  โดยการสะสมของซากพืชซากไม้ที่ทับถมกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในแอ่งแห่งนี้  จากเศษผง  ซากพืชซากไม้จนกลายเป็นดินในที่สุด  ปัจจุบันมีความหนาอยู่ที่1-3  เมตร  รากของต้นชะโนดที่แผ่ออกไปในแนวนอนทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันช่วยพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้”
           ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ  นักธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอธิบายถึงเกาะคำชะโนดนี้ว่า 
           “จะว่าไปก็เหมือนแหลมของแผ่นดินที่ยื่นออกไปแต่มันไม่มีรากเท่านั้นเองไม่มีฐานมันเหมือนเราเอาสวะมากองรวม ๆ กันแล้วมีอะไรดึงไว้ไม่ให้มันลอยไปตามน้ำ  จนรากที่มันยึดเกาะติดกัน  แล้วมีบางส่วนที่มันเชื่อมจากดินที่ยื่นออกมาจากดินหมู่บ้าน แต่ตรงดินนี้เจาะออกนิดเดียวก็จะเป็นน้ำแล้ว” 
           มีการสรุปเบื้องต้นว่าในช่วงเวลาน้ำหลากเกาะนี้ก็จะลอยตัวขึ้นตามระดับน้ำหลังน้ำลดเกาะนี้ก็จะยุบตัวลงตามผิวดิน  นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สะพานที่เชื่อมเกาะคำชะโนดและแผ่นดินหลักแตกหักทุกปี
           ทางคณะทีมงานได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิกู้ภัยสว่างเมธาอุดรธานีเอื้อเฟื้ออุปกรณ์และนักประดาน้ำ  เพื่อที่จะดำน้ำทำการสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด เพื่อหาคำอธิบายการลอยของเกาะคำชะโนดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
           การดำลงไปครั้งแรกคือการดำลงไปสำรวจพื้นที่เกาะด้านล่าง  การดำลงไปใต้เกาะคำชะโนดยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน  เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าใต้น้ำมีจระเข้และปลาขนาดใหญ่ที่ดุร้ายคอยดูน่านน้ำใต้เกาะให้เจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่   จากการสำรวจเบื้องต้นนักประดาน้ำกล่าวว่า
           “ข้างล่างน้ำใสมาก เห็นแต่หางสาร่าย และสามารถเข้าไปต่อได้”
           การลงไปครั้งที่สองคือการลงไปบันทึกภาพของเกาะคำชะโนด  นักประดาน้ำสองคนดำลงไปในทิศทางเดิมระยะกว่า 20 เมตร ผ่านไปประมาณ  10  นาที  ก็ได้รับสัญญาณให้ดึงเชือกกลับ  เพราะเข้าไปไม่ได้แล้วจึงดึงเชือกขอขึ้นฝั่ง
“ข้างในเป็นโพรงเข้าไปเหมือนถ้ำลอยได้  เคลียร์สะดวกทางโล่ง  พอครั้งที่ 2 ปรากฏว่ามันตันเป็นรากหญ้ายาวติดพื้นเข้าไปไม่ได้  ไม่เหมือนรอบแรกมีกิ่งไม้หญ้าบ้าง  ผมพยายามเคลียร์ออกแล้วแต่ก็เข้าไปไม่ได้   เวลาแหวกหญ้าเข้าไปเหมือนกับคนมาดึงไว้ไม่ให้เข้าไป”
           นับว่านับว่าเป็นการท้าทายอย่างมากในการดำน้ำลงไปสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด  จากทดลองทางวิทยาศาสตร์ทำให้รู้ภายใต้เกาะคำชะโนดว่ามีลักษณะอย่างไร  จึงทำให้เกาะนี้ลอยน้ำได้
           “ครั้งแรกที่เข้าไปอาจเป็นการไปทำช่องว่างให้เกิดขึ้น  เมื่อเราทำช่องว่างเกิดขึ้นมันจะต้องปรับตัวใหม่  สวะที่อยู่ข้างบนหรือรากไม้  วัชพืชที่เกิดอยู่ในน้ำมันต้องปรับตัวใหม่  ตรงไหนมีช่องว่างมันก็ขยับเหมือนเราขยับเข้าที่  พอไปอีกทีมันก็มาปิดบังแล้ว  จะมีต้นไม้บางชนิดที่สามารถเกิดอยู่ในน้ำและบนดินที่เรียกว่าเกาะลอย  บางส่วนผมเชื่อว่ามันหยั่งลงไปชั้นดินหรือชั้นหินที่อยู่ข้างล่างใต้หนองน้ำ”  ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ   กล่าวสรุป
           อย่างไรก็ตามชาวบ้านเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนต้องห้าม  ที่บางทีเราเองไม่ควรก้าวล้ำเข้าไป  แต่การสำรวจครั้งนี้วิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยทำให้รู้ว่าเกาะนี้ลอยได้โดยรากของต้นชะโนดหยั่งลึกลงพื้นดินใต้น้ำเกาะคำชะโนด 

 

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง
อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี (ตอน 1) ... อ่านต่อ
แกะรอยอาถรรพ์แก่งกระจาน...โศกนาฏกรรม...เฮลิคอปเตอร์-แบล็กฮอว์กตก!!! ... อ่านต่อ
ประวัติทางรถไฟสายมรณะ ... อ่านต่อ
ดูดวง / ฮวงจุ้ย
ทายนิสัย จากลายมือการเขียนตัวเลข ... BY : หมอเมท ... อ่านต่อ
คาถาทวงหนี้ คาถาอีกาวิดน้ำ ใช้สำหรับคนยืมเงินแล้วไม่คืนหรือของหาย ... อ่านต่อ
ตากระตุก ตาเขม่น ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกเรื่องราวอะไร? ... อ่านต่อ
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

ขอเครดิตฟรีหน่อยครับสมัครปุ๊บรับปั๊บไม่ต้องฝากสล็อตออนไลน์ เครดิตโบนัสได้เงินจริง slot938 สล็อต สล็อตออนไลน์ thaicasinobin แจกเครดิตฟรี สล็อต บาคาร่า คาสิโนออนไลน์ JQK41 สล็อต เครดิตฟรี ไทยคาสิโนออนไลน์ thaibet55 kubet ไทยคาสิโนออนไลน์ แทงบอล ซอคเกอร์ลีก คะแนนฟุตบอล เว็บพนันอันดับ1 HUC99 เว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.