อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี (ตอน 1)

อาถรรพ์ป่าคำชะโนด

ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี

 

เรื่อง : สุทิน  ทองสีเหลือง


           ชื่อของป่าคำชะโนดเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศพร้อม ๆ กับข่าวอื้อฉาวเรื่อง  “เปรต” แม้อาจารย์กู้ หรือนายกิตติ  ปภัสโรบล  จอมลวงโลก  เจ้าตำหรับสร้างเปรตตุ๋นคน  สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชถูกจับยัดเข้าห้องขังไปโรงเรียนเปรตเรียบร้อยแล้ว  แต่ชื่อของ  “ป่าคำชะโนด” ยังอยู่ในความสนใจของผู้คน  ว่ามีลักษณะความเป็นมาอย่างไร เพราะป่าแห่งนี้คือสถานที่ที่อาจารย์กู้เลือกเป็นโลเกชั่นในการสร้างสถานการณ์เปรตโดยหลอกลวงผู้คนให้เข้าไปดู                                                                    

จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด  30  พฤษภาคม  2543  หน้า 1
 

           เกาะคำชะโนดดินแดนที่หลายคนเชื่อว่าทุกตารางนิ้วมีความศักดิ์สิทธิ์  ชาวบ้านหลายชั่วอายุคนเชื่อกันว่าใต้คำชะโนดเป็นเมืองบาดาลมีพญานาค  ชื่อ พญาศรีสุทโธนาค ปกครองอยู่  มีทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  ซึ่งเรียกกันว่าบ่อน้ำ
           คำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ  และมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคโดยตรง  มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย  เป็นเรื่องโด่งดังมาแล้วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นเปรตกู้และผีจ้างหนัง
           มีบุคคลนิรนามไปติดต่อบริษัทหนังเร่แห่งหนึ่ง ซึ่งรับฉายหนังเร่ในตัวเมืองอุดร ให้เอาหนังกลางแปลงไปฉายที่บ้านวังทองในอัตราค่าจ้างสี่พันบาท  โดยมีสัญญาข้อหนึ่งว่าให้ฉายหนังถึงตี  4 เท่านั้น  พอถึงตี 4 ให้รีบเก็บข้าวของออกไปจากสถานที่ฉาย  อย่าอยู่จนถึงสว่าง เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย  แต่ผู้จัดการบริษัทหนังเร่ก็ไม่ติดใจอะไร กลับจากฉายหนังพวกคนงาน เดินทางกลับมาเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้าของฟังว่า ได้ไปฉายหนังให้ผีดู

จาก:หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2534 

 

 

 

ผีจ้างหนัง :  มหรสพโลกวิญญาณ 

           สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่รู้จักไปทั่วประเทศจากเรื่องเล่าผีจ้างหนังโดยมีบุคคลนิรนามไปว่าจ้างหน่วยฉายหนังเร่แจ่มจันทร์ภาพยนตร์ในตัวเมืองอุดรธานีไปฉายหนังในเกาะคำชะโนด   และพบว่าละแวกที่ฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้านใด ๆ โดยคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางมาดูหนังคืนนั้น  แต่คนฉายหนังก็ยืนยันว่า ตอนดึก ๆ  มีคนมานั่งดูหนังที่ฉายเต็มไปหมด
           คุณธงชัย  แสงชัย  เจ้าของหนังเร่บริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนตร์กล่าวในบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท  บุรีเพีย  อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง 
           “เรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532  มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง  ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4,000 บาท  มีหนังฉาย 4 เรื่อง  แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น  ห้ามฉายถึงสว่าง  พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย   ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น  เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง   จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล  แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป  
           หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้   ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน  ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู
           เด็ก ๆ เล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3 ทุ่ม  ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน  ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด  แต่พอ 3 ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก  และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง  ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง  และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป  ฉายหนังบู๊ก็เฉย  ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะ
           อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินเลย  โดยทั่วไปงานอื่น ๆ จะมีร้านขายขนม ขายบุหรี่   พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด  หายไปเร็วเหลือเกิน    พวกเด็ก ๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง   พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย  เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย  ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา   เด็ก ๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง   แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย  
           เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา  ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน “ดงคำชะโนด”  ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค  มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง
           พวกเด็ก ๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง  ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3  กิโลเมตร  แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งนาห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลเมตรนั้นเป็นดงไม้ทึบ   อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย  แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย
           ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า  เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม   ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย   ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก  ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็ก ๆ ได้มาฉายหนังที่นี่จริง  ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า  เด็ก ๆ ของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง  นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง  รอยรถนั้น  แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง   ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้  
           ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณธงชัยได้ไปนมัสการ  หลวงปู่คำตา  สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ  คำชะโนด  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด  และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า
           “คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้  จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนพวกมนุษย์   วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า “ ผีบังบด” ในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด  แต่ในป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ ๆ  เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามาทั้ง ๆ  ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย”
           “ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่  ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน   ผมและภรรยาตกใจมาก   แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก  คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป  จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน   หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ  แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโนดนี้”

 

 

 

ผีเปรตคำชะโนด

           เปรตกู้แถลงซัดทอดนักทอล์กโชว์ต้นตอวิดีโอแหกตา อ้าง “อ.พงศ์ศักดิ์” จ่าย 1.8 หมื่นถ่ายทำ นักพูดดังท้าพิสูจน์ ชาวคำชะโนดโวยทำไมเพิ่งสารภาพ 
           สำนึกบาป- นายกิตติ หรืออาจารย์กู้ ปภัสโรบล ต้นตำรับ “เปรตคำชะโนด” ปรากฏตัวที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เมื่อ 16 กันยายน เปิดแถลงเบื้องหลังเหตุการณ์ลวงโลก โดยซัดทอดนักทอล์กโชว์ชื่อดัง หาว่าเป็นคนจ้างให้ถ่ายวิดีโอแหกตา

จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด  17  กันยายน  พ.ศ.2545 หน้า 1
 

           ปี พ.ศ. 2543  “คำชะโนด” กลายเป็นข่าวดังพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ด้วยเรื่องผีเปรต เมื่อ ผอ.นาย แพทย์นักทอล์คโชว์ชื่อดังท่านหนึ่ง ซึ่งสนใจในเรื่องจิตวิญญาณ ได้เล่า ถึงเรื่องผีเปรต เทพารักษ์ และการบิณฑบาตรจากรุกขเทวาที่ “คำ ชะโนด” โดยมีการถ่ายทำวิดีโอไว้ด้วย  จากวีดีโอดังกล่าวพระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว ก็ยังนำมาเทศน์เสริมถึงเรื่องนี้ แม้ท่านจะพูดทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ยืนยัน แต่ถึงไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่  และมีประกาศว่าจะมีการนำ เทปวิดีโอเรื่องผีเปรตดังกล่าวมาออกอากาศแพร่ภาพในวันวิสาขบูชา  ยิ่งทำให้ประชาชนสนใจกันมาก  แต่ก่อนจะถึงวันวิสาขบูชาเพียงไม่กี่วัน ไอทีวี ทีวีเสรี  (ไทยพีบีเอสปัจจุบัน)  ก็คว้าเทปผีเปรตมาออกอากาศได้ก่อน สร้างความฮือฮาแก่ผู้ชมเป็นกระแสฮิตที่กล่าวถึงในสังคมอย่างมาก                      
           จากวิดีโอ ภาพที่เห็นร่างสูงโย่งแขนขายาวยืนขนานต้นชะโนดมีเสียงร้องด้วยภาษาแปลก ๆ ซึ่งเขาบอกว่าเป็น เทพารักษ์หรือรุกขเทวดา ซึ่งมีการบรรยายว่าเป็นเปรต  จนได้มีการพยายามพิสูจน์ ว่าเป็นเรื่องแหกตาหรือเปล่า โดยการเชิญผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายภาพมาดูและใช้กล้องทันสมัยที่สุด จำลองภาพขยายภาพในที่สุดก็ลงความเห็นว่า น่าจะเป็นการจัดฉากหลอกลวงประชาชน
           อีกทั้งเมื่อสืบสาวประวัติ ตัวตั้งตั้วตีคนหนึ่งคือพระไม่โกนคิ้วซึ่งรู้จักกันในนาม "พระกู้" หรือนายกิตติ  ประภัสโรบล  ตั้งตนเป็นนักจิตวิญญาณ  แต่เปลี่ยนชื่อตัวเองตั้ง 3 ครั้งราวกับต้องการปกปิดอะไรสักอย่างจนไม่น่าเชื่อถือ
           แล้วเรื่องนี้ก็ทำท่าจะเป็นเรื่องตุ๋นระดับประเทศ   เช่นเดียวกับเรื่องช้างน้ำตัวเท่าฝ่ามือ และลูกมัคคลีผลซึ่งฮือฮากันเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
           ข่าวรายงานว่าวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2544  ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติ ประภัสโรบล หรืออาจารย์กู้ หรือเปรตกู้ ในความผิดฐาน  กระทำการด้วยประการใด ๆ  แก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา
           โดยช่วงปี พ.ศ.2539 นายกิตติแต่งกายเป็นพระภิกษุสงฆ์ ยืนทำท่าเลียนแบบพระพุทธรูปปางห้ามญาติ และหลวงปู่แหวนสุจินโณ โดยใช้เท้าเหยียบที่ฐานพระพุทธรูปขณะทำท่าล้อเลียน
           สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25  กันยายน พ.ศ. 2544  เห็นว่ากระทำผิดจริงตามฟ้อง ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน และมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตร ศาลให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
           ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม  พ.ศ.2546 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าเป็นเพียงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น  แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายปรากฏว่านายกิตติไม่เดินทางมาศาลตามนัด ศาลเห็นว่าเมื่อจำเลยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว แต่มีเจตนาไม่มาฟังคำพิพากษา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร มีคำสั่งให้ออกหมายจับนายกิตติ มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 10  กันยายน
           ต่อมาเวลา 12.30 น. นายกิตติได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลที่ห้องพิจารณาคดี 912 อ้างว่าไม่ได้รับหมายนัดของศาล แต่เมื่อช่วงเช้าได้รับทราบข่าวทางวิทยุว่าถูกศาลออกหมายจับ จึงรีบมาศาลทันที ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยมายืนยันต่อหน้าศาลไม่มีเจตนาหลบหนี ให้ยกเลิกหมายจับ จากนั้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกามีใจความว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุ ใช้เท้าข้างหนึ่งยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ โดยเท้าของจำเลยอยู่บนส่วนหนึ่งของพระพุทธรูป ยกมือขวาขึ้นเลียนแบบพระพุทธรูป ส่วนใบหน้าแสดงท่าทางล้อเลียนถลึงตาอ้าปาก นอกจากจะไม่เป็นการเคารพพระพุทธรูป ยังแสดงตนเสมอพระพุทธรูป เป็นการกระทำอันไม่สมควร เป็นการดูหมิ่นพุทธศาสนา
           ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนาดูหมิ่น เนื่องจากไปรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง โดยทำพิธีเพ่งรวมอำนาจจิต ทำให้ลอยไปยืนบนฐานพระพุทธรูป หรือเหตุที่ต้องถลึงตาอ้าปาก มาจากการกลั้นลมหายใจ เพื่อรวบรวมพลังจิต เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล จึงมีความผิดตามคำฟ้อง   

 

 

 

เบื้องหลังเปรตลวงโลก

           “ผมรู้สึกน้อยใจ แต่ผมก็ถือว่ายังมีมือมีตีนอยู่จะไปร้องขอคนอื่นก็น่าเกลียด ทุกวันนี้ผมคิดจะทำป้ายไปติดประกาศหน้าบ้านว่า “ชีวิตผมก็มีอยู่แค่นี้ อย่าได้มาประนามผมว่า  เป็นคนลวงโลกอีกเลย” ถึงผมจะยังคงเชื่อถือในเรื่องภูตผี และปาฏิหาริย์อยู่ แต่ก็คงจะไม่ออกไปพิสูจน์หรือแสดงอะไรอีกแล้ว ช่วงแรก ๆ ทั้งทุกข์ ทั้งท้อ คิดผูกคอตาย แต่ลูกของเราหล่ะใครจะดูแลเขา เมียก็มาทิ้งไป ตอนนี้คิดไว้อย่างเดียวว่าใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น”

จาก : รายการคนค้นคน   ตอน  เปรตอาจารย์กู้  คนลวงโลก(หรือโลกลวงคน)  พฤศจิกายน พ.ศ.2546
 

           เปรตกู้ซึ่งเพิ่งออกจากคุกมาไม่นาน พร้อมด้วยลูกชาย 4 คนพากันปั่นจักรยานไปที่อุดรธานี  อ้างว่าต้องการไถ่บาปที่ก่อไว้  โดยเข้าพบเจ้าอาวาสวัดสิริสุทโธซึ่งเป็นวัดอยู่ติดกับคำชะโนด และขอมอบจักรยานให้นักเรียนทำบุญไถ่โทษ รวมระยะทางที่ปั่นจักรยานมา 2 วัน 2 คืน ราว 400 กิโลเมตร หรือประมาณเกือบครึ่งทาง และในวันที่ 3 อาจารย์กู้ตั้งใจจะไปถึงคำชะโนดให้ได้
           กับความพยายามครั้งสำคัญในชีวิตของนายกิตติแล้ว นอกจากเพื่อให้มีชีวิตรอดแล้วยังเพื่อลบตราบาปในใจ จากการถูกลิขิตให้เป็นคนที่ล้มละลายทางความเชื่อ  อีกทั้งเป็นการทวงคืนซึ่งความเข้าใจให้แก่ลูก ๆ ที่บริสุทธิ์เหล่านี้ ที่เขาไม่ได้มีส่วนสมคบคิดในวีดีโอลวงโลก  แต่ต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อร่วมกับพ่ออย่างเจ็บปวด และบอบช้ำ  

 

           นายกิตติ ประภัสโรบล  หรือ ยือ  คือชื่อเดิม  เป็นคนราชบุรี และเกิดในบ้านที่เป็นสภาพกระท่อม ตั้งอยู่หลังป่าช้าวัดย่าน จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันอายุ  65 ปี หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “อาจารย์กู้” ที่มีคดีโด่งดังจากหน้าหนังสือพิมพ์ แม้คดีของเขาได้จบสิ้นลงแล้ว
           ชีวิตเมื่อหลุดพ้นออกมาจากกรงเหล็กมีความลำบาก   ภรรยาก็ทิ้งจากไป ลูกก็ล้มป่วย  เรื่องงานบ้านทุกอย่างเขาเป็นคนดูแลเองทั้งหมด รวมไปถึงการดูแลลูก ๆ  4 คน  
           ย้อนไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
           ตามรายงานข่าวจากนังสือพิมพ์ข่าวสด  17  กันยายน  พ.ศ.2545 รายงานว่านายกิตติ ปภัสโรบล  หรืออาจารย์กู้  ต้นตำรับ “เปรตคำชะโนด” ปรากฏตัวที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เมื่อ 16 กันยายน พ.ศ.2545  เปิดแถลงเบื้องหลังเหตุการณ์ลวงโลกต่อหน้าปลัดอำเภอ  ตำรวจ  ชาวบ้านดุงนับร้อยคน โดยซัดทอดนักทอล์กโชว์ชื่อดัง หาว่าเป็นคนจ้างให้ถ่ายวิดีโอแหกตา
           เปรตกู้ เปิดแถลงข่าวที่วัดศริรสุทโธ  ซึ่งเป็นวัดอยู่ติดกับเกาะคำชะโนด  มีการอ้างถึง  พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา เป็นคนจ้างวานให้ถ่ายทำวิดีโอเปรตหลอกลวงชาวบ้าน  โดยเปิดเทปวิดีโอที่ถ่ายทำเรื่องเปรตที่คำชะโนดให้ชาวบ้านดูอีกรอบ  และกล่าวกับชาวบ้านว่า
           “เรื่องการถ่ายทำเปรตนั้นขอยอมรับว่าทำจริง มีผู้ว่าจ้างคือ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา นักทอล์กโชว์ชื่อดัง โดยได้มาว่าจ้างให้ทำเรื่องเปรต เพื่อจะนำไปสั่งสอนลูกศิษย์และตำรวจเพื่อให้คนเชื่อว่าบาปบุญมีจริง  เปรตมีจริง โดยได้รับค่าจ้างครั้งแรก 8,000 บาท ครั้งที่สอง 10,000 บาท  ช่วงที่รับจ้างทำงานนั้นตนกำลังบวชอยู่ จึงตกลงใจเพื่อต้องการนำเงินไปส่งเสียลูก  สำหรับการถ่ายทำมีอยู่หลายตอน ตอนพบพญาควาย ตอนพญางู ตอนบิณฑบาตกับต้นไม้ และตอนพูดคุยกับเทพารักษ์ แต่การตัดต่อนั้นตนไม่ทราบ เท่าที่ทราบมีการใช้กล้องอินฟราเรด 4-5 ตัว คณะที่มาถ่ายทำมีทั้งหมดประมาณ 30 กว่าคน มีรถตู้ 2 คัน รวมทั้ง พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์  ด้วย  ตอนนี้กรรมตามทันแล้ว เมียก็หนี ลูกก็ล้มป่วย เพราะไปลบหลู่ปู่ศรีสุทโธ จำใจต้องออกมาเปิดโปงคนอยู่เบื้องหลัง จ้างให้ถ่ายทำวิดีโอตุ๋น  ขออภัยให้ผมเถอะ หลังเกิดเรื่องผมมาที่นี่บ่อย แต่คนจำผมไม่ได้ ผมไม่มีเจตนาลบหลู่ สำหรับ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์นั้น หากว่าเป็นลูกผู้ชายจริงขอให้มาพบลูกผู้ชายอย่างไอ้กู้มาได้เสมอ”
           จากข่าวที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดได้นำเสนอไปนั้นทำให้  พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา  ได้ตกเป็นจำเลยของสังคมทันที    แต่ พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ยังไม่ขอให้สัมภาษณ์อะไร รอดูก่อนว่านายกิตติให้เปิดแถลงว่าอย่างไรบ้าง และถ้านายกิตติคิดว่าพูดความจริงก็ให้โทรศัพท์มาคุยกับตนได้เลย
           ต่อมาไม่กี่วัน พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดชื่อดัง ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณากรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์เป็นผู้ว่าจ้างให้ถ่ายทำวีดิโอบันทึกภาพผีเปรตที่ อำเภอบ้านดุง  จังหวัดอุดรธานี เพื่อหลอกลวงผู้อื่น
           โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม  พ.ศ.2547  ที่ห้องพิจารณาคดี 915 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาคดีที่ พ.อ.นพ.พงศักดิ์   ตั้งคณา นักจัดรายการวิทยุและนักพูดชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติ  ปภัสโรบล หรือ เปรตกู้   บริษัทข่าวสด และนายฐากูร อุทัยวงศ์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2545
           โดยศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ ปรับ 10,000 บาท  โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-3 พิพากษายกฟ้อง
           ชาวบ้านเชื่อว่านี่คือตัวอย่างเรื่องราวจากการลองดีหลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าคำชะโนดป่าอาถรรพ์ที่ทำให้นายกิตติต้องมีชีวิตเช่นนี้  และนายกิตติเองถึงกับเอ่ยคำพูดว่า
           “ตอนนี้กรรมตามทันแล้ว เมียก็หนี ลูกก็ล้มป่วย เพราะไปลบหลู่ปู่ศรีสุทโธ” 
            แม้เรื่องนี้จะได้ผ่านมาหลายปีแล้ว  ชีวิตของ  นายกิตติ  ปภัสโรบล หรือ เปรตกู้ ยังต้องดิ้นรนต่อสู้กับการถูกตราหน้า  “เปรตกู้จอมลวงโลก”  ไม่ว่าเขาจะเลวจริงหรือถูกทำให้เลว  แต่ความจริงและผลจากการกระทำได้ตัดสินให้เขาได้ชดกรรมที่ตนได้ก่อไว้ 

 

 

 

ตำนานวังนาคินทร์คำชะโนด

           คำชะโนดอยู่ห่างจากบ้านเกิดผมเพียง 10  กว่ากิโลเมตร  บ้านของผมอยู่ที่ตำบลบ้านจันทน์   ซึ่งเป็นตำบลที่ติดกับตำบลวังทอง  ส่วนพ่อของผมเกิดและเติบโตที่บ้านวังทอง  ผมจึงมักได้ยินเรื่องเล่าป่าคำชะโนดจากพ่อเสมอตั้งแต่เด็กจนโต  ผมเกิดและเติบโตมากับคำชะโนด  ที่นี่เปรียบจึงเสมือนบ้านของผม  พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า
           “เดิมทีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น  น้ำในบ่อขังตลอดปี  จะมีปริมาณเท่าเดิมอยู่อย่างนั้นไม่เคยแห้ง  ส่วนมากคนจะไม่ค่อยกล้าเข้าไปในป่าแห่งนี้  เพราะมีสัตว์มีพิษสัตว์ดุร้ายเยอะ  ก็มีคนเลี้ยงควายเลี้ยงวัวเท่านั้นที่เข้าไปหาน้ำกินในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในป่าคำชะโนด  ที่เรียกบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เพราะว่าเมื่อใครเจ็บป่วยมาอธิฐานขอน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปดื่มแล้วหาย  ปู่กับย่าก็ทำเช่นนั้นเมื่อยามเจ็บไข้ป่วย  เพราะสมัยนั้นการที่จะไปหาหมอนั้น ต้องใช้เวลานานในการเดินทางและไกลหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงโรงพยาบาลในตัวอำเภอบ้านดุง  ส่วนด้านหลังป่าคำชะโนดบริเวณนั้นจะเป็นถ้ำหากอธิฐานอยากเจอจระเข้ก็จะมีจระเข้โผล่ใต้น้ำขึ้นมา”
           ยังมีเรื่องเล่าว่าชาวบ้านหนองกาไปหาปลาในแม่น้ำสงครามซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาภูพานในเขตจังหวัดนครพนม  แล้วเจอจระเข้ขนาดใหญ่  จึงกลับเข้าไปในหมู่บ้าน  จากนั้นได้เล่าให้คนในหมู่บ้านฟังและได้พากันออกไล่ล่าจระเข้  เพราะกลัวว่าจระเข้จะทำอันตรายชาวบ้านที่ไปหาปลาในแม่น้ำสงคราม  ชาวบ้านพากันออกไล่ล่าอาวุธครบมือ  ทั้งปืนผาหน้าไม้  เมื่อเจอจระเข้ตัวนั้นก็ได้ลงมือฆ่าจระเข้จนตายและช่วยกันเอาไม้มาสอดคานหามเข้าหมู่บ้าน  พากันแร่เนื้อจระเข้กิน  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อคนในหมู่บ้านที่กินเนื้อจระเข้ทยอยตายติดต่อกันหลายคนด้วยอาการแปลกประหลาด   ชาวบ้านจึงนำหมอธรรม (หมอพิธีกรรมร่างทรงทางภาคอีสาน ) มาทำพิธีเข้าร่างทรง  จึงทราบว่าจระเข้ตัวที่ชาวบ้านฆ่าและเอาเนื้อมากินนั้นแท้จริงคือเรือเจ้าปู่ศรีสุทโธ  ชาวบ้านจึงทำพิธีขอขมาเจ้าปู่ศรีสุทโธเรื่องถึงสงบสุข   

           ตำนานคำชะโนดนั้นผมสอบถามกับพ่อและคนเฒ่าคนแก่ก็ได้ยินไม่แตกต่างกันนักถึงเรื่องราวตำนานคำชะโนดนั้น  เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาช้านาน   แม้จะมีข้อมูลแย้งจากวรรณกรรมเชียงงาม  ว่าเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นมนุษย์แต่จากตำนานส่วนใหญ่ระบุว่าเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นพญานาค
           ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า  หนองกระแสหรือหนองแสซึ่งอยู่ทางตอนเหนือประเทศลาว  มีเมืองพญานาคาอยู่สองฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งมี  พญาศรีสุทโธ  เป็นหัวหน้าครองเมือง   อีกฝ่ายมีพญาสุวรรณนาค  เป็นหัวหน้าครองเมือง  มีบริวารฝ่ายละห้าพันเท่า ๆ กัน  ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขและเป็นเพื่อนตายกัน  มีอะไรก็จะช่วยเหลือกัน  แต่มีสัญญาข้อตกลงอยู่ว่า  ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปหาอาหารอีกฝ่ายจะไม่ออกไป  เพราะเกรงว่าจะทะเลาะกัน  เมื่อได้อาหารจะต้องมาแบ่งกันสองส่วนคนละครึ่ง 
           วันหนึ่งพญาสุทโธนาคพาออกบริวารไปหาอาหารได้ช้างมาเป็นอาหาร  จึงแบ่งเนื้อช้างและขนออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน  และได้นำไปแบ่งพญาสุวรรณนาคตามสัญญาข้อตกลง  ทั้งสองฝ่ายต่างอิ่มหนำสำราญเพราะช้างมีเนื้อมาก
           ต่อมาวันหนึ่งพญาสุวรรณนาคได้พาบริวารออกไปหาอาหารจึงได้เม่นจึงแบ่งเนื้อเม่นและขนออกเป็นสองส่วน เอาไปให้พญาสุทโธนาคอีกส่วนหนึ่ง  เม่นมีตัวเล็กนิดเดียวแต่ขนเม่นนั้นมีขนาดใหญ่  เนื้อที่แบ่งให้พญาสุทโธนาคจึงไม่พอกิน จึงเกิดความไม่พอใจจึงตัดขาดจากความเป็นเพื่อนและได้ทำสงครามกัน  จนเวลาผ่านไปเจ็ดปีสร้างความเดือดร้อนไปทั้งสามภพ เรื่องทราบไปถึงพระอินทร์จึงตรัสเป็นโองการให้นาคทั้งสองได้หยุดรบกันถือว่าทั้งสองฝ่ายเสมอกัน  จึงให้สร้างแม่น้ำคนละสายใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้รางวัลปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น
           และเพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาคทั้งสอง  ให้เอาภูเขาดงพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย  ใครข้ามไปรุกราน  ขอให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้เป็นจุณมหาจุณ
           พญาสุทโธนาคสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีกโค้งไปโค้งมา  จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง  ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียดและใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย คือ แม่น้ำน่าน  ซึ่งไหลรวมกับแม่น้ำปิงกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาของในประเทศไทย
           ในการสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้งนั้น ปรากฏว่าแม่น้ำโขงของพญาสุทโธนาคสร้างเสร็จก่อนจึงเป็นผู้ชนะและได้ปลาบึกเป็นรางวัล  ซึ่งแม่น้ำโขงคือแม่น้ำแห่งเดียวในโลกที่มีปลาบึกอาศัยอยู่ 
           หลังจากนั้นสุทโธนาคได้แผลงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  เหาะไปเฝ้าพระอินทร์  ณ  ดาวดึงส์  แจ้งว่าตัวเองเป็นชาติเชื้อพญานาค  ถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้  จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่งพระอินทร์จึงทรงอนุญาตให้มีรู พญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ  1. ที่พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์   2. ที่หนองคันแท  ทั้ง 2 แห่งให้เป็นทางขึ้นลงของพญานาคเท่านั้น  ส่วนแห่งที่3.พรหมประกายโลก หรือคำชะโนด คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น  จึงมีเกาะคำชะโนดจนถึงปัจจุบันนี้

 

 

 

     

บทความที่เกี่ยวข้อง
ประวัติทางรถไฟสายมรณะ ... อ่านต่อ
แกะรอยอาถรรพ์แก่งกระจาน...โศกนาฏกรรม...เฮลิคอปเตอร์-แบล็กฮอว์กตก!!! ... อ่านต่อ
อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี (ตอนจบ) ... อ่านต่อ
ดูดวง / ฮวงจุ้ย
ทายนิสัย จากลายมือการเขียนตัวเลข ... BY : หมอเมท ... อ่านต่อ
คาถาทวงหนี้ คาถาอีกาวิดน้ำ ใช้สำหรับคนยืมเงินแล้วไม่คืนหรือของหาย ... อ่านต่อ
ตากระตุก ตาเขม่น ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกเรื่องราวอะไร? ... อ่านต่อ
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.