เคลมประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่แจ้งอุบัติเหตุแล้วจบ บทความนี้รวมสิ่งที่ต้องระวังระหว่างการเคลม เพื่อให้คุ้มครองได้เต็มที่ไม่สะดุด
เคลมประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่กดโทรแล้วจบ เพราะแค่พลาดบางจุด เช่น แจ้งข้อมูลไม่ครบ เอกสารขาด หรือเข้าใจเงื่อนไขผิด อาจทำให้เคลมไม่ผ่านหรือได้เนงินช้ากว่าที่คิด ก่อนจะกดแจ้งเคลม ลองมาเช็กให้ครบว่าเรื่องไหนบ้างที่ต้องระวังให้ดี
การเคลมประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่โทรแจ้งแล้วจะจบ เพราะหลายกรณีที่เจ้าของรถเข้าใจว่าตัวเองมีสิทธิ์ แต่จริง ๆ กลับอยู่นอกขอบเขตความคุ้มครอง ถ้าไม่เช็กก่อนให้ดี มีโอกาสเคลมไม่ผ่านได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกรณีที่กรมธรรม์ไม่ได้ระบุไว้ชัด เช่น ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ, การชนที่เกิดจากการใช้รถผิดประเภท หรือการดัดแปลงรถโดยไม่แจ้งบริษัทประกันล่วงหน้า
ก่อนจะยื่นเรื่องเคลมประกันรถยนต์ ต้องย้อนกลับไปดูในตารางกรมธรรม์ว่าความคุ้มครองครอบคลุมแค่ไหน มีข้อยกเว้นอะไรบ้าง หรือมีเงื่อนไขพิเศษที่ต้องทำตามหรือเปล่า เพราะถ้าไปเคลมแบบไม่รู้เงื่อนไข ก็อาจถูกปฏิเสธได้แบบงง ๆ
หนึ่งในเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่กลายเป็นดราม่าบ่อยมากเวลาเคลมประกันรถยนต์ ก็คือการแจ้งข้อมูลไม่ตรงกับที่เกิดเหตุจริง เช่น บอกว่าชนตอน 9 โมงเช้า แต่กล้องวงจรปิดแถวจุดเกิดเหตุไม่มีภาพ หรือมีภาพตอนบ่าย อันนี้บริษัทประกันจะขอตรวจสอบทันที และถ้าไม่สามารถให้ข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนได้ ก็อาจส่งผลต่อการพิจารณาเคลม
การจำวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุให้แม่น รวมถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะช่วยให้ขั้นตอนเคลมประกันรถยนต์ผ่านไปได้ไวขึ้น เจ้าหน้าที่ประกันจะสามารถประเมินได้ทันทีว่าอยู่ในความคุ้มครองหรือไม่
เคลมประกันรถยนต์ไม่ควรใช้คำว่า "น่าจะ" หรือ "จำไม่ค่อยได้" เพราะเมื่อเกิดความไม่ชัดเจน บริษัทประกันมีสิทธิ์ขอหลักฐานเพิ่มเติม หรือแม้แต่ปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชยได้เลยทันที เพราะข้อมูลไม่เพียงพอที่จะใช้พิจารณา
ถ้าให้ข้อมูลไม่ครบตั้งแต่ต้น แล้วต้องย้อนกลับมาให้ใหม่ทีหลัง อาจทำให้กระบวนการล่าช้าหรือถูกมองว่ามีเจตนาปกปิดได้ด้วย ดังนั้นควรเตรียมตัวและเล่าเหตุการณ์ให้ละเอียด ตั้งแต่เริ่มจนจบโดยไม่มีช่องโหว่
กรมธรรม์ประกันรถยนต์ไม่ได้ครอบคลุมทุกความเสียหายแบบ 100% โดยเฉพาะความเสียหายที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุโดยตรง หรือเป็นเหตุที่เกิดจากความประมาท เช่น การขับรถลุยน้ำแล้วเครื่องพัง หรือกรณีที่ทรัพย์สินในรถหายโดยไม่มีร่องรอยการงัดแงะ
การเคลมประกันรถยนต์ในกรณีเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เช่น ต้องมีการเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติมตั้งแต่ตอนซื้อกรมธรรม์ หรือมีหลักฐานชัดเจนประกอบ เช่น บันทึกประจำวันของตำรวจ รายการทรัพย์สินพร้อมมูลค่า ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีบางกรณีที่เจ้าของรถไม่สามารถเคลมได้เลย เช่น รถสูญหายจากการจอดโดยไม่ได้ล็อค, ความเสียหายจากการบรรทุกเกินน้ำหนัก หรือรถใช้ในการแข่งขัน ซึ่งอยู่นอกเหนือความคุ้มครองตามปกติทั้งหมด
แม้ว่าจะแจ้งเหตุครบ พูดชัดเป๊ะ เอกสารคืออีกตัวแปรที่สำคัญมาก เพราะถ้าขาดหรือผิด แม้แต่เล็กน้อย ก็มีผลกับการเคลมประกันรถยนต์ทันที เช่น เล่มทะเบียนไม่ครบ, ใบรับรองแพทย์ไม่ตรงชื่อ, สำเนาบัตรประชาชนมัว, หรือไม่มีใบประเมินความเสียหาย
ขึ้นอยู่กับลักษณะของความเสียหายที่เคลม เอกสารที่ต้องใช้จึงต่างกัน เช่น เคลมรถชน เคลมค่ารักษา เคลมทรัพย์สิน เคลมกรณีเสียชีวิต หรือเคลมจากภัยธรรมชาติ โดยเอกสารแต่ละชุดมีรายการเฉพาะและมีบางกรณีที่ต้องส่งต้นฉบับเท่านั้น
แนะนำว่าก่อนจะยื่นเรื่องเคลมประกันรถยนต์ ควรโทรสอบถามหรือตรวจสอบกับฝ่ายสินไหมก่อนทุกครั้งว่าเอกสารที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการถูกขอเอกสารซ้ำ หรือขั้นตอนยืดเยื้อเกินจำเป็น
ใครที่เคยต้องวนไปวนมาเพราะขาดเอกสารจะรู้เลยว่า เสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ แถมเคลมก็ล่าช้า แบบไม่ควรเกิด
ใช่ เพราะบริษัทประกันต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ถ้าคลุมเครือหรือไม่ตรงกับหลักฐาน อาจทำให้ขั้นตอนอนุมัติเคลมล่าช้า หรืออาจถูกปฏิเสธได้
ไม่เสมอไป ต้องเช็กสิทธิ์ความคุ้มครองก่อนทุกครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่เป็นข้อยกเว้นในกรมธรรม์ เช่น ความเสียหายบางประเภท หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากกรณีที่ไม่อยู่ในเงื่อนไข
เอกสารไม่ครบ = เคลมไม่เดิน เอกสารถือเป็นหัวใจของการเคลม ถ้าขาดบางอย่าง อาจต้องยื่นใหม่ เสียเวลา หรือโดนเลื่อนพิจารณาออกไป
ขึ้นอยู่กับประเภทความเสียหาย เช่น ซ่อมอู่, ซ่อมนอกเครือ, บาดเจ็บ, เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย โดยแต่ละกรณีจะมีรายการเอกสารเฉพาะที่ต้องเตรียม
ถ้าข้อมูลที่ให้ไม่ตรงหรือเปลี่ยนไปจากความจริง เช่น บอกว่าชนแบบหนึ่ง แต่หลักฐานระบุอีกแบบ อาจทำให้การเคลมโดนสอบสวนเพิ่มเติม หรือถูกพิจารณาว่าเข้าข่ายหลอกลวงได้
หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย