รับมือ Social Engineering ด้วยการป้องกันภัยไซเบอร์ที่ได้ผล !

รู้หรือไม่ว่าการป้องกันภัยไซเบอร์ที่หละหลวมอาจนำไปสู่ความเสียหายอย่างมหาศาล แค่เผลอกดลิงก์ผิด หรือบอกรหัส OTP ให้ใครบางคน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ในความเป็นจริงกลับสามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากต่อการรับมือได้เลย โดยเฉพาะภัยไซเบอร์ที่พบได้บ่อยในปัจจุบันอย่าง “Social Engineering” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สามารถหลอกถามเหยื่อได้อย่างแนบเนียนโดยใช้จิตวิทยาเป็นเครื่องมือ ดังนั้นการรู้เท่าทันและมีวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ว่าวิธีป้องกันภัยไซเบอร์คืออะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงยุคดิจิทัลนี้ 

รู้ก่อนตกเป็นเหยื่อ! การป้องกันภัยไซเบอร์ Social Engineering 

พฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีและโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันได้กลายเป็นช่องทางเปิดให้เหล่าแฮกเกอร์สามารถเข้ามาหลอกลวงหรือขโมยข้อมูลสำคัญได้ง่ายขึ้นผ่านรูปแบบที่เรียกว่า Social Engineering หากผู้ใช้งานไม่มีการป้องกันภัยไซเบอร์ที่ดีพอ เพราะ Social Engineering คือประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาศัยเทคนิคทางจิตวิทยาในการล่อลวงเหยื่อให้เปิดเผยข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือแม้แต่ข้อมูลภายในองค์กร

ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลลวงเหล่านี้ การเรียนรู้วิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จาก Social Engineering จึงสำคัญมาก ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้จากขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1. ระวังอีเมลและข้อความน่าสงสัย (Phishing)

Phishing เป็นหนึ่งในประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ Social Engineering ที่มักมาผ่านอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งน่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร องค์กรชื่อดัง หรือหน่วยงานราชการ โดยมุ่งหวังให้เหยื่อคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลสำคัญในแบบฟอร์มปลอมเพื่อขโมยข้อมูล ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากการถูกหลอกลวง ควรหลีกเลี่ยงคลิกลิงก์จากอีเมลหรือข้อความที่ไม่แน่ใจ ตรวจสอบชื่อผู้ส่งและโดเมนให้ละเอียด และหากสงสัยควรติดต่อหน่วยงานนั้น ๆ โดยตรงแทน

2. อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวง่าย ๆ

Social Engineering เป็นประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มักใช้การพูดคุยอย่างแนบเนียนเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตรประชาชน รหัส OTP หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร ให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกหลอกลวงหรือขโมยข้อมูล ดังนั้นควรตั้งสติและหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลสำคัญใด ๆ   หากยังไม่สามารถยืนยันตัวตนของผู้ร้องขอได้อย่างชัดเจน

3. ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA)

อีกหนึ่งวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จาก Social Engineering คือการเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication - 2FA) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้บัญชีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือบัญชีธนาคาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะนอกจากต้องใช้รหัสผ่านแล้ว ยังต้องยืนยันตัวตนผ่านโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชัน ทำให้แม้ว่าแฮกเกอร์จะทราบรหัสผ่าน ก็ยังไม่สามารถเข้าใช้บัญชีได้ง่าย ๆ

4. อบรมให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์

การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภัยไซเบอร์คือเกราะป้องกันชั้นดี ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ จึงควรส่งเสริมให้มีการจัดอบรมเรื่องภัยไซเบอร์และเทคนิคการหลอกลวงที่พบบ่อยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถป้องกันตนเอง และไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงเหล่านี้

5. ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์

ในยุคที่ข้อมูลถูกแชร์อย่างรวดเร็ว การแพร่กระจายข้อมูลเท็จจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งข้อมูลเท็จเหล่านั้นอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีโดยผู้ไม่หวังดี ดังนั้นก่อนจะแชร์อะไรบนโลกออนไลน์ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ใจว่าเชื่อถือได้ อย่าเชื่อหรือแชร์ข้อความที่เร่งเร้า เช่น “รีบแชร์ก่อนลบ” และหลีกเลี่ยงการส่งต่อข้อมูลหรือโพสต์ที่ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้

การป้องกันภัยไซเบอร์ Social Engineering ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป องค์กร หรือหน่วยงานรัฐบาล ทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างไม่คาดคิด การรู้เท่าทันวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีโดยภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของการใช้งานโลกออนไลน์ ทุกคนจึงควรเพิ่มความระมัดระวัง หมั่นอัปเดตความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และปฏิบัติตามแนวทางพื้นฐาน เพราะการระมัดระวังและความรู้คือกุญแจสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล