Sculptra เคล็ดลับฟื้นฟูผิว ให้กลับมาอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ใครที่กำลังมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวหน้าโดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม Sculptra อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อก! ด้วยคุณสมบัติพิเศษใน Sculptra ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอย แต่ยังฟื้นฟูความแข็งแรงของผิวจากภายในได้อีกด้วย แล้ว Sculptra เหมาะกับใคร? ในการฉีด Sculptra ช่วยอะไร? ไปหาคำตอบกันที่นี่!

การฉีด Sculptra คืออะไร ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างไร 

Sculptra คือ สารเติมเต็มผิวที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้ เมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง สารใน Sculptra จะไปฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเป็นธรรมชาติ

หลักการทำงานหลังจากฉีด Sculptra สารเติมเต็ม PLLA จะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยเติมเต็มผิวที่ขาดความกระชับ โดยคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะช่วยเสริมโครงสร้างใต้ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น แม้ว่า Sculptra จะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เห็นทันทีเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป แต่เมื่อผ่านไป 4-6 สัปดาห์ ผิวจะค่อย ๆ ตึงกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี

ผลลัพธ์ของผิวที่ได้หลังจากฉีด Sculptra เป็นอย่างไร

หลังจากฉีด Sculptra ผิวจะค่อยๆ ฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 4-6 สัปดาห์และอยู่ได้นาน 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งหลังจากฉีด Sculptra คอลลาเจนใต้ผิวจะถูกกระตุ้นให้สร้างขึ้นใหม่ ผิวจะมีความกระชับและเต่งตึงมากขึ้น ลดปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ ทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 

นอกจากนี้ ผิวยังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยลดความอ่อนแอของผิวที่เกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้นหรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง แลดูสุขภาพดี โดยไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือตึงเกินไป ซึ่งเป็นข้อดีของ Sculptra ที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ คงอยู่ได้นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Sculptra กับหัตถการกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ 

ปัจจุบันมีหลายวิธีในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเพื่อฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ Sculptra เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยม แต่ยังมีหัตถการอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เหมือนกัน ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าแต่ละตัวมีข้อดีและข้อแตกต่างอย่างไร

Filler

Filler หรือสารเติมเต็มที่นิยมใช้กันมากคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับผิวโดยการฉีดเข้าไปในชั้น Dermis หรือ Subcutaneous เพื่อเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที เช่น เติมแก้ม ร่องแก้ม ขมับ หรือคาง อย่างไรก็ตาม Filler ไม่ได้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบ Sculptra แต่เน้นการเติมเต็มชั้นผิวโดยตรง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของ Filler และการดูแลรักษาผิวของแต่ละบุคคล

Rejuran

Rejuran มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) หรือ PDRN สารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนที่ช่วยฟื้นฟูผิวระดับเซลล์ โดยฉีดตื้นเข้าสู่ผิวชั้นกลาง (Mid Dermis) เพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว กระตุ้นคอลลาเจน และลดการอักเสบของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย หรือมีรอยแผลจากสิว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน

Ulthera

Ulthera เป็นเทคโนโลยี อัลตราซาวนด์ความถี่สูง (HIFU) ที่ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ดึงหน้า ช่วยยกกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีโดยไม่ต้องฉีดสารเข้าสู่ผิว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ใช้เข็ม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Chanel

Chanel หรือที่รู้จักในชื่อ Skin Booster หรือ Meso Therapy เป็นการฉีดสารบำรุง เช่น Hyaluronic Acid, วิตามิน และแอนติออกซิแดนท์ เข้าไปในชั้นผิวตื้น (Epidermis หรือ Upper Dermis) เพื่อให้ความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้าน เหมาะกับคนที่ต้องการผิวฉ่ำโกลว์และสุขภาพดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-3 เดือน

Radiesse

Radiesse เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวและฟื้นฟูโครงสร้างผิวอย่างล้ำลึก ฉีดเข้าไปที่ชั้น Deep Dermis หรือ Hypodermis เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและยาวนานขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

การดูแลตนเองหลังฉีด Sculptra ทำได้อย่างไร

หลังจากฉีด Sculptra ผิวหน้าจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการฉีด Sculptra ลดผลข้างเคียงที่รุนแรงหลังฉีด ตลอดจนช่วยให้สาร PLLA ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการดูแลตนเองหลังฉีด Sculptra อย่างเคร่งครัด ดังนี้

• นวดบริเวณที่ฉีด 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน เพื่อช่วยกระจายสารให้สม่ำเสมอและลดโอกาสเกิดก้อนใต้ผิว
• งดการซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกแดดจัดภายใน 48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดการระคายเคืองของผิว
• หลีกเลี่ยงการกดนวดแรงๆ หรือทำทรีตเมนต์ที่รุนแรง เช่น เลเซอร์และ RF อย่างน้อย 2 สัปดาห์
• ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวอิ่มน้ำและกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน
• งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-7 วัน เพื่อลดการอักเสบและช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิว

Sculptra ทางเลือกในการกระตุ้นคอลลาเจนให้แก่ผิว

Sculptra เป็นหัตถการที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้สาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งไม่เพียงแค่เติมเต็มผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างยาวนาน ผลลัพธ์ของ Sculptra จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ และสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี เมื่อเทียบกับหัตถการกระตุ้นคอลลาเจนอื่นๆ การฉีด Sculptra จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการฟื้นฟูผิวระยะยาว และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และความเสื่อมของผิวในระยะยาวมากกว่า