PRK วิธีแก้ปัญหาสายตา ให้กลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง

ปัญหาสายตาผิดปกติเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ล้วนทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ส่งผลต่อการทำงาน การเรียน และกิจวัตรประจำวัน หลายคนจึงมองหาวิธีแก้ปัญหาสายตาสั้นและความผิดปกติอื่น ๆ อย่างถาวร นอกเหนือจากการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ หนึ่งในวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมคือการผ่าตัดสายตาด้วยเลเซอร์ โดยเฉพาะวิธีที่เรียกว่า PRK หรือ Photorefractive Keratectomy ซึ่งเป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ PRK คืออะไร และทำไมจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตาอย่างถาวร

PRK (Photorefractive Keratectomy) คืออะไร 

PRK หรือ Photorefractive Keratectomy คือวิธีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง PRK คือหนึ่งในทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อปรับแต่งความโค้งของกระจกตา ทำให้แสงสามารถหักเหและโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างถูกต้อง 

ในขั้นตอนการทำ PRK แพทย์จะเริ่มจากการนำเซลล์ผิวบนสุดของกระจกตาออก จากนั้นใช้เลเซอร์ปรับแต่งเนื้อกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสมกับสภาพสายตาของผู้ป่วย ซึ่งแตกต่างจาก LASIK ที่ต้องสร้างแฟลปบนกระจกตา ทำให้ PRK เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง

PRK สามารถแก้ไขค่าสายตาผิดปกติได้หลายระดับ โดยทั่วไปสามารถรักษาสายตาสั้นได้ถึง -12.00 ไดออปเตอร์ สายตายาวถึง +6.00 ไดออปเตอร์ และสายตาเอียงถึง 6.00 ไดออปเตอร์ ทำให้ PRK เป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตาอย่างถาวร โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป

ผู้ที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับการทำ PRK มีคุณสมบัติอย่างไร

การตัดสินใจเข้ารับการทำ PRK เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้ว่า PRK จะเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจ กลุ่มคนที่เหมาะและไม่เหมาะกับการทำ PRK มีดังนี้

ผู้ที่เหมาะกับการเข้ารับทำ PRK 

• ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และมีสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี
• ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงในระดับที่ PRK สามารถแก้ไขได้
• บุคคลที่มีกระจกตาบางเกินไปสำหรับการทำ LASIK
• ผู้ที่มีอาชีพหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการกระแทกที่ดวงตา เช่น นักกีฬา ทหาร ตำรวจ
• บุคคลที่ไม่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้เนื่องจากอาการระคายเคืองหรือตาแห้ง
• ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาอย่างถาวรและลดการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการเข้ารับทำ PRK

• ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือมีสายตาที่ยังไม่คงที่ ไม่เหมาะกับการทำ lasik กับ prk
• บุคคลที่มีโรคตาบางชนิด เช่น ต้อหิน ต้อกระจก หรือโรคจอประสาทตาเสื่อม
• ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
• สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากฮอร์โมนอาจส่งผลต่อสายตา
• ผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง เพราะอาจทำให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดล่าช้า
• บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ไม่ควรทำ prk เลสิก

ข้อดี/ข้อจำกัดในการทำ PRK

ข้อดี

• เหมาะสำหรับกระจกตาบาง: PRK เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางเกินไปสำหรับการทำ LASIK เนื่องจากไม่ต้องสร้างแฟลปบนกระจกตา
• ความปลอดภัยสูง: เนื่องจากไม่มีการตัดแฟลป จึงลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับแฟลป เช่น การเลื่อนหลุดของแฟลป
• ผลลัพธ์ที่แม่นยำ: PRK สามารถแก้ไขค่าสายตาได้อย่างแม่นยำ ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง
• ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บในอนาคต: เหมาะสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมหรืออาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการกระแทกที่ดวงตา
• ผลลัพธ์ระยะยาวที่ดี: PRK มีแนวโน้มให้ผลลัพธ์ที่คงทนในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีของสายตาสั้นระดับสูง

ข้อจำกัด

• ระยะเวลาฟื้นตัวนาน: การฟื้นตัวหลังทำ PRK ใช้เวลานานกว่า LASIK โดยอาจต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนที่สายตาจะกลับมาชัดเจน
• อาการไม่สบายตาช่วงแรก: ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองตาในช่วง 3-5 วันแรกหลังการผ่าตัด
• ต้องใช้ยาหยอดตานาน: ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยในการฟื้นตัว
• อาจเกิดภาวะตาแห้ง: ผู้ป่วยบางรายอาจเผชิญกับภาวะตาแห้งหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจต้องใช้น้ำตาเทียมเป็นระยะเวลานาน
• ความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าที่กระจกตา: ในบางกรณี อาจเกิดฝ้าที่กระจกตา (corneal haze) ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็น
• ไม่สามารถแก้ไขสายตาผิดปกติได้ทุกระดับ: PRK มีข้อจำกัดในการแก้ไขค่าสายตาที่ผิดปกติมาก ๆ
• อาจต้องหยุดพักงาน: เนื่องจากระยะเวลาฟื้นตัวที่นานกว่า ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องหยุดพักงานหรือกิจกรรมประจำวันเป็นเวลาหลายวัน

ข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับการทำ PRK ที่ควรรู้

การเตรียมตัวที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำ PRK การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวที่ดี ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับการทำเลสิก PRK โดยเบื้องต้น มีดังนี้

• งดใส่คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการตรวจวัดสายตาและการผ่าตัด
• หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาก่อนวันผ่าตัด 1-2 วัน
• แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้ประจำ รวมถึงการแพ้ยาใด ๆ
• งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
• เตรียมผู้ดูแลหรือพาหนะสำหรับการเดินทางกลับหลังการผ่าตัด เนื่องจากไม่ควรขับรถด้วยตนเอง

ขั้นตอนการทำ PRK 

การทำ PRK เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แม้จะใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน แต่แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ของการรักษา การทำความเข้าใจกับขั้นตอนต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกมั่นใจและผ่อนคลายมากขึ้น ขั้นตอนหลักในการทำ PRK มีคร่าว ๆ ดังนี้

1. การเตรียมตัวผู้ป่วย:

• แพทย์จะให้ยาหยอดตาเพื่อชาเฉพาะที่
• ทำความสะอาดรอบดวงตาและใส่อุปกรณ์เพื่อให้ตาเปิดค้างไว้

2. การนำเซลล์ผิวกระจกตาออก:

• แพทย์ใช้เทคนิคพิเศษเพื่อนำเซลล์ผิวชั้นนอกสุดของกระจกตา (epithelium) ออก
• ขั้นตอนนี้เตรียมกระจกตาสำหรับการปรับแต่งด้วยเลเซอร์

3. การใช้เลเซอร์ปรับแต่งกระจกตา:

• ใช้เลเซอร์แบบ Excimer ปรับแต่งความโค้งของกระจกตา
• กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที ขึ้นอยู่กับระดับสายตาที่ต้องแก้ไข

4. การปกป้องกระจกตา:

• หลังจากปรับแต่งเสร็จ แพทย์จะใส่เลนส์สัมผัสชนิดพิเศษเพื่อปกป้องกระจกตา
• เลนส์นี้จะช่วยให้เซลล์ผิวกระจกตาเติบโตขึ้นมาใหม่และป้องกันการติดเชื้อ

5. การให้ยาและคำแนะนำหลังผ่าตัด:

• แพทย์จะให้ยาหยอดตาและคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด
• ผู้ป่วยจะได้รับนัดหมายเพื่อติดตามผลในวันถัดไป

ข้อควรปฏิบัติหลังการทำ PRK มีอะไรบ้าง?

การดูแลตนเองหลังการทำ PRK มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวและผลลัพธ์ของการรักษา ข้อควรปฏิบัติหลังการทำ PRK พักฟื้น มีดังนี้

แนวทางการดูแลตนเองหลังการผ่าตัด PRK ในช่วงสัปดาห์แรก:

• พักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป
• ใช้ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
• สวมแว่นกันแดดเมื่อออกนอกบ้านเพื่อป้องกันแสงจ้า
• หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสตาโดยตรง
• งดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา หลังทำ PRK
• หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เหงื่อเข้าตา เช่น การออกกำลังกายหนัก
• ใช้ที่ครอบตาขณะนอนหลับเพื่อป้องกันการกดทับหรือขยี้ตาโดยไม่ตั้งใจ

แนวทางการดูแลตนเองหลังจากถอดคอนแทคเลนส์:

• ทำความสะอาดตาด้วยน้ำเกลือล้างตาที่ปราศจากเชื้อตามคำแนะนำของแพทย์
• ใช้น้ำตาเทียมบ่อยครั้งเพื่อช่วยลดอาการตาแห้ง
• หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือแช่น้ำอย่างน้อย 2 สัปดาห์หรือตามคำแนะนำของแพทย์
• สวมแว่นกันแดดที่มีการป้องกัน UV เมื่อออกแดด
• ทยอยเพิ่มเวลาในการใช้สายตาทำงานหรืออ่านหนังสือ
• หลังทำ PRK สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดตารุนแรง ตาแดง หรือมีขี้ตามากผิดปกติ และแจ้งแพทย์ทันทีหากพบ
• งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ
• เข้ารับการตรวจติดตามผลตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

สรุปการทำ PRK หมดปัญหาสายตาบกพร่อง

PRK เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตาอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ตา แม้ว่าการฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่า LASIK แบบอื่น ๆ แต่ผลลัพธ์ระยะยาวมักเป็นที่น่าพึงพอใจ การเตรียมตัวที่ดีและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการรักษา ผู้ที่กำลังตัดสินใจทำ PRK ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดอย่างละเอียด