ขึ้นชื่อว่าเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกแล้วนั้น หลายๆ คนอาจจะนึกถึงโรคกระดูกสันหลังคดในผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วในวัยเด็กก็อาจประสบกับภาวะ ‘กระดูกสันหลังคด’ ที่เกิดในเด็กโดยเฉพาะได้เช่นเดียวกัน ซึ่งโรคนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบได้ในเด็กผู้ชาย จาก 8 คน จะพบเด็กผู้ชาย 1 คนที่ต้องเผชิญกับภาวะเช่นนี้ ซึ่งถ้าหากจะมองให้นอกเหนือจากความเรื้อรังและความรุนแรงแล้ว กระดูกสันหลังคดนั้นอาจทำให้เด็กสูญเสียบุคลิกโดยไม่รู้ตัว, อาจทำให้เตี้ยลงในทุกๆ ปี และซ้ำร้ายไปกว่านั้นการที่เด็กต้องประสบกับภาวะกระดูกสันหลังคดนั้นอาจไปส่งผลกระทบต่อซี่โครงไขสันหลังและปอดแบบระยะยาว อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้ ซึ่งวิธีการรักษาโรคนี้ในเด็กสามารถทำได้โดยวิธีการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กปกติคนอื่นๆ อีกครั้ง แต่จะมีวิธีการผ่าตัดรักษาแบบไหนบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ มาฝาก

ผ่าตัดรักษาด้วยวิธี MAGEC

    เครื่องมือสำหรับการผ่าตัดรักษาภาวะกระดูกสันหลังคดในเด็ก ภายใต้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ Magnetic Control Growing Rod หรือเรียกกันแบบย่อๆ ว่า Magec โดยเครื่องมือเทคโนโลยีตัวนี้จะมีลักษณะคล้ายกับแท่งแม่เหล็ก บริเวณตรงกลางจะมี Implant Magnet ที่เป็นแม่เหล็ก ช่วยในการยืดและหมุนไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งการผ่าตัดลักษณะนี้จะเหมาะกับเด็กอายุ 5-15 ปีที่มีภาวะกระดูกสันหลังคด เด็กต้องมีน้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 11 กิโลกรัม โดยกระดูกของเด็กเองจะต้องมีความยืดหยุ่นด้วย เพราะถ้าหากกระดูกแข็งจนเกินไปการผ่าตัดรักษาภาวะกระดูกสันหลังคดก็อาจจะไม่ได้ผล ซึ่งผลลัพธ์หลังการผ่าตัดนั้นตัวเด็กเองจะมีส่วนสูงที่เพิ่มมากขึ้นในทันที ส่วนเด็กคนไหนที่อาจจะยังโตไม่เต็มวัย การผ่าตัดรักษาด้วยวิธีนี้ก็จะช่วยให้เด็กมีกระดูกที่สามารถเจริญเติบโตไปตามวัย เตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาผ่าตัดรักษาเมื่อถึงวัยสมควรอีกครั้งนั่นเอง

ผ่าตัดรักษาด้วยวิธีแบบ 3 มิติ

    สำหรับเด็กคนไหนที่อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดใหญ่ดังแบบ MAGEC ที่กล่าวไปในข้างต้น การรักษาภาวะกระดูกสันหลังคดในเด็กก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการรักษาแบบสามมิติ (3D) ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่แพทย์จะประเมินอาการแล้วให้เด็กใส่เสื้อเกราะดัดหลัง (Brace) แทน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษา กึ่งๆ กับป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังคดงอเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม โดยข้อกำหนดคือเด็กจำเป็นจะต้องใส่เสื้อเกราะดัดหลังนี้อย่างน้อย 16 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตามวิธีการนี้เปรียบเสมือนเป็นการทุเลาอาการไปพลางๆ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนเข้าสู่การผ่าตัดนั่นเอง

ทุกๆ การผ่าตัดในเด็กนั้นความพร้อมคือสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมในตัวเด็กเอง สภาพร่างกาย การเจริญเติบโตภายใน หลังจากนั้นก็จะสามารถเข้ารับการผ่าตัดในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ ไม่จำเป็นต้องกลับมาพบแพทย์บ่อยๆ ตลอดไปจนถึงให้เด็กกลับมามีบุคลิกภาพที่ดีและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง