หากจะบอกว่า ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่มีการแข่งขันสูงก็คงไม่ผิดนัก บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้หลายๆ คนต้องเผชิญกับความเครียดและภาวะวิตกกังวล ส่งผลให้เกิดอาการแพนิคตามมาอย่างไม่รู้ตัว สำหรับใครที่เกิดภาวะนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี รู้หรือไม่ว่ายังอาจพัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้าได้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สงสัยว่า อาการแพนิค หรือ โรควิตกกังวลเฉียบพลัน มีอาการอย่างไร และจะมีความรุนแรงหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน
อาการของโรคแพนิคนั้น สามารถปรากฏได้หลากหลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปแล้ว จะมีอาการเหล่านี้ ใครที่สงสัยว่าตนเองมีความผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มาเช็กลิสต์อาการกันได้เลย
ใจสั่น เต้นแรง หายใจลำบาก หายใจเร็ว หายใจไม่เต็มอิ่ม
เหงื่อออก ตัวสั่น รู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้ อาเจียน หรือรู้สึกเหมือนจะจะเป็นลม วิงเวียนศีรษะ
รู้สึกกลัว รู้สึกเหมือนจะตาย
รู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในบางรายยังอาจมีอาการแพนิคอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น รู้สึกชา ปวดหน้าอก รู้สึกเหมือนถูกบีบรัดบริเวณอก รู้สึกเหมือนกำลังจะหมดสติ
ผู้ป่วยโรคแพนิคในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า ข้อมูลสถิติผู้เข้ารับการรักษาโรคแพนิคในประเทศไทยปัจจุบัน จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจน แต่ที่ผ่านมา มีผลงานวิจัยบางชิ้นระบุที่ให้เห็นว่า อาการแพนิคเป็นโรคทางจิตที่พบบ่อยในประเทศไทย
งานวิจัย ของ กรมสุขภาพจิต ปี 2565 พบว่า ประชากรไทยร้อยละ 2.6 เคยป่วยเป็นโรคแพนิคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นจำนวนประมาณ 1.5 ล้านคน
งานวิจัย ของ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ปี 2564 พบว่า ผู้ป่วยโรคแพนิคเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช เฉลี่ยปีละประมาณ 100,000 คน
งานวิจัย ของ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ในปี 2562 พบว่า ประชากรไทยร้อยละ 2.6 เคยป่วยเป็นโรคแพนิคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
งานวิจัย ของ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 พบว่า โรคแพนิคเป็นโรคทางจิตที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลทั่วไป โดยพบผู้ป่วยใหม่ประมาณ 100,000 คนต่อปี
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของโรคแพนิคในสถานการณ์ปัจจุบัน:
ความเครียด: สถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเครียด เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคม ภัยพิบัติ ส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้คน ทำให้เกิดความวิตกกังวล และนำไปสู่โรคแพนิคได้
การใช้ชีวิต: วิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เร่งรีบ ขาดการพักผ่อน ใช้เวลากับหน้าจอเป็นเวลานาน ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดความเครียด และนำไปสู่โรคแพนิคได้
การเข้าถึงข้อมูล: การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว และบางครั้งอาจเป็นข้อมูลเท็จ ข่าวลือ สร้างความวิตกกังวล และกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิค
หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนรอบข้างเป็นโรคแพนิค ควรปรึกษาแพทย์หรือจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
การบำบัดทางจิต: จิตแพทย์จะใช้เทคนิคการบำบัดทางจิต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและจัดการกับความคิด รวมถึงอารมณ์ที่ทำให้เกิดอาการแพนิค
ยา: แพทย์อาจใช้ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs หรือ SNRIs มักใช้เพื่อรักษาโรคแพนิค ยาเหล่านี้ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง
นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาคลายกังวลร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิคสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยต้องดูแลตัวเองดังนี้:
หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น: ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพนิค เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การดื่มกาแฟ
ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย: ผู้ป่วยควรฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจเข้าลึกๆ การทำสมาธิ โยคะ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน
ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย