รายละเอียดกระทู้
เจ้าของกระทู้
: Author
ว/ด/ป เวลา
: 26/05/24 23:48:35 PM
เลขไอพี
: 171.4.226.192
หัวข้อ
: HIV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และอาจนำไปสู่โรคเอดส์
รายละเอียด
:

HIV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และอาจนำไปสู่โรคเอดส์

HIV

การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี HIV ผ่านช่องทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหนึ่งในช่องทางหลักของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในปัจจุบัน กรมควบคุมโรค ได้รายงานข้อมูลสถานการณ์สถิติจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 จนถึงปี พ.ศ. 2565 จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงคิดเป็น 45% เป็นข่าวที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย 

อย่างไรก็ตาม การให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับ HIV นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายและความร้ายแรงของเชื้อไวรัสชนิดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและประชาชนทั่วไป


HIV คืออะไร?

HIVคือ

HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus  HIV คือ เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ในร่างกายมนุษย์จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4 cells) หรือ ทีเซลล์ (T-cells) ที่คอยทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา หรือปรสิต รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้ามาในร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวให้ลดน้อยลง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป รวมถึงมีอาการที่รุนแรงกว่าปกติ จนอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้  

หากเกิดข้อกังวลว่าร่างกายมีเชื้อไวรัส HIV อยู่หรือไม่นั้น วิธีที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุด คือ ตรวจเลือด HIV ซึ่งสถานที่ตรวจเลือด HIV ได้แก่ คลินิก สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง 


HIV แตกต่างจาก AIDS อย่างไร

HIV กับ เอดส์ AIDS มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว HIV เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในขณะที่ AIDS คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ทั้ง HIV และเอดส์ แพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งทางร่างกาย เช่น เลือด น้ำเหลือง และน้ำอสุจิ ซึ่งเมื่อติดเชื้อไวรัส HIV แล้ว ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อชะลอความรุนแรงของโรคและยืดอายุของผู้ป่วย


สาเหตุของการเกิด HIV

HIV สาเหตุของการเกิดขึ้นของเชื้อไวรัส HIV สามารถเกิดขึ้นได้จากคนสู่คนด้วยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งในร่างกาย เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด น้ำนมแม่ อวัยวะเพศชาย น้ำอสุจิ และทวารหนัก เชื้อไวรัส HIV ยังสามารถติดต่อจากพฤติกรรมต่าง ๆ ได้เหมือนกัน เช่น 

  • มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัส HIV ด้วยการสอดใส่ผ่านช่องคลอด ทวารหนัก โดยไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยในขณะตอนมีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังสามารถติดเชื้อ HIV ได้จากการสัมผัสกับสารหล่อลื่นในช่องคลอด

  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่เป็น HIV ซึ่งมักจะพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้นเลือด

  • ติดเชื้อ HIV ผ่านการสัมผัสกับเลือด น้ำเหลืองจากบาดแผลเปิดภายนอกผิวหนังของร่างกาย หรือแผลบริเวณในช่องปาก และใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็น HIV เช่น กรรไกรตัดเล็บ เข็มสักผิวหนัง มีดโกนหนวด เข็มเจาะหู และเข็มเจาะสะดือ

  • ติดเชื้อ HIV ในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเชื้อ HIV จากมารดาสามารถแพร่เชื้อให้บุตรได้ตอนที่ตั้งครรภ์ ตอนคลอดบุตร และตอนให้นมบุตร


อาการที่เกิดขึ้นของการติดเชื้อ HIV แต่ละระยะ

อาการHIV

อาการที่เกิดขึ้นของการติดเชื้อ HIV ในแต่ละระยะจะแบ่งออกได้ทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่
 

ระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ HIV 

ระยะแรกที่ติดเชื้อ HIV  หรือ Acute HIV ในระยะนี้เชื้อ HIV จะแบ่งตัวออกเพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 หรือ T-cells ให้ลดจำนวนลดน้อยลง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะมีปฏิกิริยาในการต่อสู้กับเชื้อ HIV ด้วยวิธีเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 เพื่อต่อต้านเชื้อไวรัส ถึงแม้ว่าปริมาณ CD4 จะมีไม่มากเมื่อเทียบเท่ากับตอนก่อนติดเชื้อไวรัสก็ตาม ในระยะแรกที่ติดเชื้อไวรัสสามารถแพร่เชื้อไวรัสให้กับผู้อื่นได้ และผู้ติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในระยะแรกส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ จึงทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสไม่รู้ว่าติดเชื้อไวรัส และไปแพร่เชื้อไวรัสให้กับผู้อื่น วิธีที่จะหาเชื้อไวรัส HIV คือตรวจเลือด

สามารถตรวจเลือด HIV ฟรีได้ที่ คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง หรือตรวจเลือด HIV ประกันสังคม
 

ระยะการติดเชื้อ HIV โดยไม่แสดงอาการ

ติดเชื้อไวรัส HIV ในระยะนี้เป็นระยะที่เชื้อไวรัสแฝงตัวอยู่ในร่างกาย โดยจะไม่แสดงอาการใด ๆ ส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ในระยะนี้จะมีสภาพร่างกายเหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่ถ้าหากตรวจเลือดจะพบว่าเป็น HIV positive คือ มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย และระดับของเชื้อไวรัส HIV ในเลือดจะสูงขึ้นเพิ่มขึ้น

เนื่องจากเชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวน และทำลายระบบภูมิคุ้มกัน CD4 หรือเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ไปเรื่อย ๆ จนเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในระยะนี้ต้องรีบเข้ารับการรักษา HIV อย่างเร่งด่วน เพื่อต้านไวรัส HIV และควบคุมการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส                  
  

ระยะ HIV พัฒนาเป็น AIDS

HIV ในระยะนี้ได้มีการพัฒนาเป็นเอดส์ ซึ่งเอดส์เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ผู้ติดเชื้อไวรัสในระยะนี้จะมีระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ในร่างกายน้อยกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ ส่งผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ และโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งหลอดเลือด


แนวทางการรักษาอาการติดเชื้อ HIV

ในปัจจุบันวิธีรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ให้หายยังไม่สามารถทำได้ แนวทางการรักษาของผู้ติดเชื้อHIV รักษาทำได้แค่เพียงมุ่งเน้นไปที่การยับยั้งการแพร่กระจายและควบคุมปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในร่างกาย โดยจะใช้ยาต้านไวรัส HIV ซึ่งยาต้านไวรัส HIV จะมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ยาต้านไวรัส HIVแต่ละชนิดจะมีสรรพคุณที่เหมาะสมกับอาการในระยะติดเชื้อ HIV ต่าง ๆ ยาที่ใช้ต้านไวรัส HIV เรียกว่า ARV (Antiretroviral Drugs)

เมื่อผู้รับเข้าตรวจเลือด HIV พบว่าผลการตรวจเลือดเป็นบวก ทางแพทย์จะให้ยาในกลุ่มของ ARV เพื่อลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสในร่างกาย ไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลาย ลดโอกาสความเสี่ยงการพัฒนาไปสู่โรคเอดส์และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสให้กับบุคคลอื่น 


แนวทางการป้องกันตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ HIV

  • การใช้ถุงยางในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ

  • การดูแลแผล หากมีแผลเปิดที่มีเลือดไหลควรทำความสะอาดและปิดแผลให้สนิท เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกติดเชื้อผ่านทางแผล

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้อื่น หรือกระบอกฉีดยากับบุคคลที่มีความเสี่ยงมีเชื้อ HIV 

  • มีคู่นอนคนเดียวไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย เพิ่มความสบายใจในความมั่นใจในสุขภาพทางเพศของตนเองและคู่นอน

  • ตรวจเลือดและตรวจสุขภาพประจำปี สามารถช่วยให้ทราบถึงสถานะสุขภาพของตนเองและรับการรักษาหากมีปัญหา


ยับยั้ง HIV ได้เร็ว ช่วยป้องกันโรคเอดส์ได้

ถ้าคุณคิดว่าคุณอาจสัมผัสกับ HIV สิ่งสำคัญคือ ต้องรีบไปรับการตรวจ การวินิจฉัย และการรักษา HIV ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสเชื้อเอชไอวีภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง การรับยา PEP โดยเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งได้รับประทานยาต้านไวรัสเร็วเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ติดเชื้อในระยะยาว ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อฉวยโอกาส และที่สำคัญป้องกันการแพร่กระจายไปยังผู้อื่นอีกด้วย

อย่ากลัวที่จะตรวจ การตรวจ HIV เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้คุณทราบสถานะของตัวเองและเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม สำหรับการตรวจเลือด HIV ราคาจะแตกต่างกันไปตามวิธีการ และแต่ละโรคพยาบาล ท่านสามารถหาข้อมูลและสอบถามราคาตรวจเลือด HIV ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านท่าน

 


 

ชื่อ*
<< 1 >
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

ขอเครดิตฟรีหน่อยครับสมัครปุ๊บรับปั๊บไม่ต้องฝากสล็อตออนไลน์ เครดิตโบนัสได้เงินจริง slot938 สล็อต สล็อตออนไลน์ thaicasinobin แจกเครดิตฟรี สล็อต บาคาร่า คาสิโนออนไลน์ JQK41 สล็อต เครดิตฟรี ไทยคาสิโนออนไลน์ thaibet55 kubet ไทยคาสิโนออนไลน์ แทงบอล ซอคเกอร์ลีก คะแนนฟุตบอล เว็บพนันอันดับ1 HUC99 เว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.