สถานการณ์ปัจจุบันจะพบว่าค่าครองชีพมีแต่จะสูงขึ้นทุกปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยค่อนข้างมาก และหากไม่มีมาตรการที่เหมาะสมมาช่วยควบคุมก็จะมีแนวโน้มการเอารัดเอาเปรียบของนายจ้างที่มีต่อลูกจ้าง ซึ่งมาตรการที่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ความยากจน ทั้งยังช่วยลดสัดส่วนผู้ทำงานที่ยากจนให้ลดน้อยลงคือ การกำหนดใช้ค่าแรงขั้นต่ำนั่นเอง
ล่าสุดได้มีการประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน 2567 อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำฉบับที่ 12 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 สำหรับแรงงานใหม่ทั่วไปแรกเข้าทำงานในปี 2567 ส่วนของแรงงานที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปีมีทักษะฝีมือมากขึ้น ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น นายจ้างควรพิจารณาปรับค่าจ้างให้มากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
สำหรับค่าแรงขั้นต่ำนั้น เราจะหมายถึงรายได้ขั้นต่ำที่นายจ้างต้องจ่ายตอบแทนให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าแรงงาน และตัวเลขต้องอิงตามค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน โดยไม่มีการแบ่งแยกเพศ สัญชาติ ระดับการศึกษา ประเภทของงาน รวมถึงคนที่อยู่ในระยะทดลองงานด้วย ถึงแม้ลูกจ้างจะทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ค่าจ้างขั้นต่ำก็ยังต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้แล้วเงินค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทางไม่อาจนับเข้าเป็นค่าแรงขั้นต่ำที่นายจ้างจะนำมาใช้คำนวณเพื่อหักในการจ่ายค่าแรงพื้นฐานให้แก่ลูกจ้างอย่างเด็ดขาด
กลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำคือ คณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งประกอบด้วย
ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง 5 คน
ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง 5 คน
ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 5 คน มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการ พร้อมอีก 4 คนเป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล
ปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำนั้นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ค่าครองชีพ ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ การเติบโตของผลิตภาพแรงงานในจังหวัดนั้น ๆ อัตราเงินเฟ้อ สภาพเศรษฐกิจและสังคม เพื่อนำไปสู่ข้อยุติที่ว่านายจ้างสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ และลูกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข
ในส่วนของกฎหมายแรงงานจะมีกำหนดวันทำงานปกติเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พร้อมวันหยุดตามประเพณีอย่างน้อย 13 วันต่อปี และวันหยุดพักผ่อนอย่างน้อย 6 วันทำงานต่อปี
สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 2567 ที่ประกาศให้เริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2567 นั้นมีการนำข้อมูลตัวเลขย้อนหลังของ 5 ปีที่ผ่านมาเพื่อนำมาพิจารณาหาค่าเฉลี่ยจนได้บทสรุปของการปรับขึ้น 2-16 บาทใน 77 จังหวัดต่าง ๆ แบ่งเป็น 17 อัตราดังต่อไปนี้
1 จังหวัด ปรับเพิ่ม 16 บาทเป็น 370 บาท
ภูเก็ต (เดิม 354 บาท)
6 จังหวัด ปรับเพิ่ม 10 บาทเป็น 363 บาท
กรุงเทพ, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ และสมุทรสาคร (เดิม 353 บาท)
2 จังหวัด ปรับเพิ่ม 7 บาทเป็น 361 บาท
ชลบุรี และระยอง (เดิม 354 บาท)
1 จังหวัด ปรับเพิ่ม 12 บาทเป็น 352 บาท
นครราชสีมา (เดิม 340 บาท)
1 จังหวัด ปรับเพิ่ม 13 บาทเป็น 351 บาท
สมุทรสงคราม (เดิม 338 บาท)
6 จังหวัด เป็น 350 บาท
เชียงใหม่, ขอนแก่น, ปราจีนบุรี และสระบุรี (เดิม 340 บาท) ปรับเพิ่ม 10 บาท
พระนครศรีอยุธยา (เดิม 343 บาท) ปรับเพิ่ม 7 บาท
ฉะเชิงเทรา (เดิม 345 บาท) ปรับเพิ่ม 5 บาท
1 จังหวัด ปรับเพิ่ม 9 บาทเป็น 349 บาท
ลพบุรี (เดิม 340 บาท)
3 จังหวัด เป็น 348 บาท
สุพรรณบุรี และหนองคาย (เดิม 340 บาท) ปรับเพิ่ม 8 บาท
นครนายก (เดิม 338 บาท) ปรับเพิ่ม 10 บาท
2 จังหวัด ปรับเพิ่ม 7 บาทเป็น 347 บาท
กระบี่ และตราด (เดิม 340 บาท)
15 จังหวัด เป็น 345 บาท
กาญจนบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, สระแก้ว, นครพนม, บุรีรัมย์ และพิษณุโลก (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 10 บาท
สุราษฎร์ธานี, สงขลา, พังงา และอุบลราชธานี (เดิม 340 บาท) ปรับเพิ่ม 5 บาท
จันทบุรี, มุกดาหาร และสกลนคร (เดิม 338 บาท) ปรับเพิ่ม 7 บาท
เชียงราย และตาก (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 13 บาท
3 จังหวัด เป็น 344 บาท
เพชรบุรี และสุรินทร์ (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 9 บาท
ชุมพร (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 12 บาท
3 จังหวัด เป็น 343 บาท
ยโสธร และนครสวรรค์ (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 8 บาท
ลำพูน (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 11 บาท
5 จังหวัด เป็น 342 บาท
นครศรีธรรมราช (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 10 บาท
บึงกาฬ, ร้อยเอ็ด และเพชรบูรณ์ (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 7 บาท
กาฬสินธุ์ (เดิม 338 บาท) ปรับเพิ่ม 4 บาท
5 จังหวัด เป็น 341 บาท
ชัยนาท, พัทลุง และอ่างทอง (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 6 บาท
สิงห์บุรี ชัยภูมิ (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 9 บาท
16 จังหวัด เป็น 340 บาท
ระนอง, สตูล, หนองบัวลำภู, มหาสารคาม, ศรีสะเกษ, อำนาจเจริญ, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, สุโขทัย, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุทัยธานี และราชบุรี (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 8 บาท
เลย และอุตรดิตถ์ (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 5 บาท
อุดรธานี (เดิม 328 บาท) ปรับเพิ่ม 12 บาท
4 จังหวัด เป็น 338 บาท
ตรัง และแพร่ (เดิม 332 บาท) ปรับเพิ่ม 6 บาท
พะเยา (เดิม 335 บาท) ปรับเพิ่ม 3 บาท
น่าน (เดิม 328 บาท) ปรับเพิ่ม 10 บาท
3 จังหวัด ปรับเพิ่ม 2 บาทเป็น 330 บาท
นราธิวาส, ปัตตานี และยะลา (เดิม 328 บาท)
สิ่งที่ตามมาจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อนายจ้าง เจ้าของกิจการ ก็จะมี
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก
กลุ่มพนักงานที่ได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน ก็ยังส่งผลกระทบต่อ
กลุ่มพนักงานที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่าก็จะถูกกระทบไปด้วยหากไม่ได้รับการปรับเงินเดือนขั้นต่ำด้วย
สำหรับพนักงานเงินเดือนสูงกว่าที่ได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อป้องกันการลาออกก็จะมีผลกระทบตรง ๆ ต่อ
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ค่าโอที และ ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นที่คิดจากฐานเงินเดือน เช่น ค่าคอมมิชชั่น โบนัส เป็นต้น
ขณะเดียวกันนายจ้าง หรือ เจ้าของกิจการที่มีโครงสร้างพนักงานส่วนมากภายในองค์กรเป็นกลุ่มพนักงานที่มีอายุงานน้อยในสัดส่วนที่สูงกว่ามาก ก็ยิ่งจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
สามารถกล่าวได้ว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลกระทบโดยรวมดังนี้
ต้นทุนจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับพนักงานใหม่สูงขึ้น
ต้นทุนจากการปรับค่าจ้างพนักงานเดิมเพิ่มสูงขึ้น
ต้นทุนจากการปรับอัตราค่าจ้างตามวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น
ต้นทุนการปรับเงินเดือนคนเก่าให้มากกว่าคนใหม่เพิ่มขึ้น
พนักงานเก่าอาจเรียกร้องขอเงินเดือนเพิ่มขึ้น
เปอร์เซ็นต์การลาออกของพนักงานเก่าเพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้น
ผลกำไรไม่ได้ตามเป้าเนื่องจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อการขึ้นเงินเดือนและโบนัสประจำปี
มีแนวโน้มสูงที่จะต้องปรับโครงสร้างเงินเดือนใหม่
สร้างความกดดันต่อต้นทุนการผลิตส่วนที่เป็นค่าจ้าง และเงินเฟ้อ
เมื่อไรก็ตามที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นกับคน 2 กลุ่มด้วยกันซึ่งก็คือ นายจ้างที่เป็นเจ้าของธุรกิจและลูกจ้างที่เป็นพนักงาน แต่ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงกลุ่มแรกที่เป็นนายจ้างว่าควรจะต้องมีการเตรียมตัวในด้านใดบ้าง
สำรวจจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มี ว่ากลุ่มไหนต้องใช้อัตราค่าแรงขั้นต่ำล่าสุด หรืออัตราค่าจ้างตามวุฒิการศึกษา เพื่อคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำที่ต้องจ่าย พร้อมวางแผนถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดจากการจ้างงาน เช่น เงินสมทบทุนประกันสังคม เงินสมทบทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าล่วงเวลา ค่าคอมมิชชั่นอื่น ๆ
หลังจากปรับค่าแรงพนักงาน ตามค่าแรงขั้นต่ำแล้ว จากนั้นบริหาร วิเคราะห์การดำเนินงาน และประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาลดค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นออก
แรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไป ดังนั้นควรมีการติดต่อสื่อสารวางนโยบายเกี่ยวกับพนักงาน คอยรักษากำลังใจ แก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบเพื่อก้าวเดินไปพร้อมองค์กร
ธุรกิจที่มีภาคการผลิตที่ใช้แรงงานขั้นต่ำเป็นส่วนมากควรปรับระบบการผลิตให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสามารถเผชิญกับความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจได้มากขึ้นโดยใช้กำลังแรงงานในจำนวนที่เหมาะสม
การปรับค่าแรงขั้นต่ำนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับลูกจ้างที่มีรายได้น้อยจะได้มีฐานะความเป็นอยู่โดยรวมที่ดีขึ้น มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่ค่าครองชีพสูงก็ตาม ดังนั้นลูกจ้างทั้งหลายสมควรอัปเดตอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้ในแต่ละปีอยู่เสมอ
ต่อให้ได้รับค่าแรงเพิ่ม จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ แต่อย่าชะล่าใจควรที่จะทำบัญชีค่าใช้จ่ายรายวันเพื่อกำหนดงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายรายวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ค่าเดินทาง ฯลฯ
เพื่อที่จะได้มีการกันเงินเก็บส่วนหนึ่งไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และสำหรับเหตุอันไม่คาดฝันในอนาคต
พยายามเลือกทำงานในบริษัทที่มีสวัสดิการ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน ฯลฯ เพื่อใช้สิทธิ์ในกรณีที่มีอันตรายจากการทำงานให้นายจ้าง
ค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศใช้เดือนมกราคม 2567 ทั่วประเทศ 77 จังหวัดนั้นเป็นการปรับขึ้น 2-16 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ ค่า GDP สภาพเศรษฐกิจและสังคม และการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในแต่ละจังหวัด
อย่างไรก็ตามประกาศฉบับนี้เป็นเพียงการปรับรอบแรกเท่านั้น เพราะรัฐบาลได้วางแผนจะมีการพิจารณาอีกครั้งภายในเดือนมกราคม และนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งในเดือนมีนาคม ก่อนที่จะมีการประกาศค่าแรงขั้นต่ำรอบใหม่เพื่อใช้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ที่จะถึงนี้
หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย