หลังจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมาเผยตัวเลขอัตราค่าบริการภายในโรงภาพยนตร์ของไทย มีค่าบริการสูงมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และถึงเวลาแล้วที่มาจัดระเบียบกันใหม่ โดยจะขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ให้คิดราคาค่าบริการในราคาที่ยุติธรรมกว่านี้ ได้สร้างความหวังรำไรให้แก่ "คอหนัง" ทั่วประเทศ ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตโรงหนังในราคาที่ย่อมเยากว่านี้
"คม ชัด ลึก" สำรวจราคาสินค้าและบริการในพื้นที่โรงภาพยนตร์หลายแห่ง พบว่า มีราคาสูงมาก อย่าง "ป๊อปคอร์น" มีราคา 70-150 บาท, "น้ำอัดลม" ราคา 65-80 บาท, "ขนมขบเคี้ยว" ราคา 40-55 บาท, "น้ำเปล่า" ราคาตั้งแต่ 15-20 บาท ด้วยราคาสินค้าที่สูงกว่าที่จำหน่ายตามท้องตลาดเกือบเท่าตัว แต่ก็ยังมีผู้ต่อแถวใช้บริการซื้ออาหารเหล่านี้อย่างเนืองแน่น สืบเนื่องจากข้อกำหนดของโรงภาพยนตร์ห้ามนำอาหารจากที่อื่นเข้ามารับประทาน ระหว่างชมภาพยนตร์
"วีรยุทธ" วัย 25 ปี ยอมรับว่า อาหารและน้ำดื่มที่ขายในโรงหนังมีราคาแพงมาก ไม่ต่างจากตั๋วหนัง แต่ก็จะเลือกมาดูวันพุธแทน เพราะตั๋วมีราคาถูกกว่าปกติ ส่วน "เอกชัย" วัย 30 ปี บอกว่า ราคาตั๋วหนังนั้นพอรับได้ แต่ที่รับไม่ได้คือ ค่าน้ำดื่มกับป๊อปคอร์นราคาโหดเกินไป อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูด้วย
ขณะที่สังคมในโลกออนไลน์ ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นกระทู้ร้อนในห้องเฉลิมชัย เว็ปไซต์พันทิปดอทคอม มีผู้เข้ามาตั้งกระทู้และแสดงความคิดเห็นหาทางออกในเรื่องนี้กันอย่างคับคั่ง เช่น คุณ "ingaom" โพสต์ข่าวเว็บไซต์ผู้จัดการดอทคอม ระบุถึง เบื้องหลังราคาตั๋วหนังพุ่ง-ป๊อปคอร์นแพง อันดับ 3 ของโลก ซึ่งได้สัมภาษณ์ "ป้อง" นภสร แย้มอุทัย ผู้จัดการโรงภาพยนตร์เฮ้าส์อาร์ซีเอ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า เหตุที่ตั๋วหนังมีราคาแพงเพราะต้นทุนของแต่ละโรงไม่เท่ากัน เลยทำให้แต่ละแห่งคิดถึงเรื่อง “จุดคุ้มทุน” และ “กำไร” มาเป็นตัวกำหนดราคาตั๋วหนัง บางโรงก็จะรวมค่าตกแต่งเข้าไปด้วย เขาต้องหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาเสริมนอกจากการขายตั๋วเพื่อให้คุ้มทุน...แต่ขณะเดียวกันโรงหนังเครือใหญ่ๆ แค่ขายโฆษณาอย่างเดียวก็คุ้มทุนแล้ว และการจะให้ สคบ.มาจัดการก็ยาก เพราะการฉายหนังมันไม่ใช่สิ่งของที่คนจำเป็นต้องซื้อ...
จากโพสต์ดังกล่าว มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นหลากหลาย เช่น คุณ "mmaayy01" เสนอว่า น่าจะเรียกร้องโรงหนังให้จ่ายค่าจ้างให้เรา ที่ต้องทนดูโฆษณาของคุณ ทั้งที่เราจ่ายเงินเพื่อดูหนัง ไม่ใช่เพื่อไปดูโฆษณา, คุณ "DragonPondz123" มองว่า น่าจะร่วมมือกัน หยุดเข้าโรงหนังสักพัก
คุณ "นายสองสี" ยอมรับว่า การจะสไตรค์ไม่ดูหนังพร้อมกันทั้งประเทศคงยาก แต่ที่หลายๆ คนพูดเสมอว่ามันแพง ไม่พอใจก็ไม่ต้องไปดูมันก็ใช่ แต่บังเอิญว่าเลือกไม่ได้ เพราะแพงทุกโรงดังนั้นมันเลือกได้แค่ ดูกับไม่ดู หลายๆ ท่านอยากชมภาพยนตร์ที่ชอบ สุดท้ายก็เลยยอมควักเงินจ่ายออกไป ส่วนเรื่องขนม มันก็เป็นทางเลือกบังคับอีกเช่นกันคือ เลือกระหว่างซื้อกับไม่ซื้อ เพราะเขาห้ามเอาขนม น้ำ ที่ไม่ได้ซื้อจากหน้าโรงเขาเข้าไป ถ้าอยากกินก็จ่ายมา แต่ถ้าไม่อยากจ่ายก็อด ถ้าเขายอมให้เอาขนมข้างนอก (ที่เหมาะกับการทานในโรงภพายนตร์) เข้าไปได้ แบบนี้ถึงจะแฟร์ครับ ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ รวมตัวกัน 20 กว่าคนแม้จะกลุ่มเล็กๆ แต่ทำด้วยความสบายใจ (และกระเป๋าสตางค์) คือไม่เข้าโรงภาพยนตร์แล้ว และเท่าที่สังเกตคนที่ไปดูภาพยนตร์จะเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ คือเป็นวัยที่ยังไม่ได้หาเงินเอง อีกพวกคือวัยที่ทำงานแต่ไม่มีภาระ คือไม่ต้องผ่อนบ้าน ไม่ต้องหาเงินเข้าบ้าน ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่รับรู้ความแพงของมัน
ด้าน คุณ "aba_dabee_abo_dabe" ขอคิดต่างจากประเด็นร้อน "ราคาตั๋วหนังพุ่ง กับป๊อปคอร์นแพงโคตร" ออกตัวว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีญาติเป็นเจ้าของโรงหนัง เป็นแค่ผู้บริโภคคนหนึ่ง ซึ่งรักการเสพหนังเพื่อความบันเทิง มองว่า เรื่องราคาตั๋วหนัง และอาหารหน้าโรงหนังแพง วิธีการหนึ่งที่เราทำ คือ การออกมาร้องเรียน และเป็นการตอบโต้ที่น่าจะได้ผล ควรจะ "เลิก" ใช้บริการจะดีที่สุด ธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยลูกค้า หากขายไม่ออกก็จะเจ๊งไปเอง หากมีแต่กระแสบ่นว่าแพง แต่พอมีหนังน่าดูเข้ามา คุณก็ยังไปใช้บริการ เขาก็คงจะไม่ค่อยสนใจเสียงติติงหรอก ส่วนกรณีป๊อปคอร์น กับน้ำหน้าโรงหนังก็เช่นกัน หากพวกเราพร้อมใจกันไม่ซื้อ ป๊อปคอร์นทำมาทุกวัน ก็เหลือทิ้งทุกวัน เอาน้ำมาขาย ก็อยู่ในตู้ยันหมดอายุไม่มีใครซื้อ มีแต่ขาดทุน เดี๋ยวเจ้าของโรงหนัง เขาก็ปรับกลยุทธ์รับมือเราเองแหละ เช่น ลดราคา... เป็นต้น
แล้วทำไมต้องดูไปกินไป อยากบอกว่า เสียงตอนคนที่นั่งข้างๆกินป๊อปคอร์น หรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ ตอนดูหนังในโรงหนัง มันช่างทำลายอรรถรสในการดูหนังอย่างมาก และบางครั้งคราบความมัน คราบน้ำหวาน อาจติดอยู่ตามที่พักแขน พื้นและเก้าอี้บุพรม ซึ่งผู้ใช้บริการบางคนเขาไม่ค่อยสนใจหรอกว่ามันจะเปื้อนจะหกแค่ไหน ฉะนั้นราคาที่เก็บแพงขึ้นมากกว่าปกติ อาจเป็นการผลักภาระต้นทุนการทำความสะอาด ซึ่งเรื่องการผลักภาระให้แก่ผู้บริโภครับผิดชอบ มันแฝงรวมอยู่ในราคาสินค้ามานานแล้ว...
คุณ "seven-elephant" มองว่า การดูหนัง ถือว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยก็ได้ คือไม่มีหนังให้ดู ก็มีชีวิตอยู่กันได้ ผมก็ว่าตั๋วหนังมันแพงเกิน เคยรับได้ที่ 120 ว่าแพงมากแล้ว พอมันขึ้นอีกก็เลยเลิกดูเลย
ส่วนคุณ "กะ จะ วิน" มองว่า "เลิก" ใช้บริการ เป็นวิธีที่ดีครับ แต่ถามว่าจะมีคนใช้มาตรการนี้กันสักเท่าไหร่ จะมากจนเกิดปรากฏการณ์สะเทือนไปถึงผู้ประกอบการไหม? อย่าลืมว่าคนที่อยู่ในฐานะที่จ่ายได้ อาจไม่ได้แคร์เรื่องนี้มากจนทำให้พวกเขาต้องเลิกดู เหมือนกับคนขับรถที่ต้องเติมน้ำมัน เติมแก๊ส ต่อให้แพงก็ต้องเติม เช่นเดียวกับคนที่รักการชมหนังในโรง ต่อให้แพง ก็ต้องยอมจ่าย แต่อย่างไรผู้บริโภคก็ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในเรื่องของราคา การมีตัวกลางเข้ามาสอดส่องดูแลก็ถือเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับราคา ซึ่งจะมีปริมาณมากหรือน้อยก็ถือเป็นผู้บริโภค และสามารถจัดการได้ดีกว่าให้ผู้บริโภคจัดการเอง ถ้าแรงน้อยตะโกนให้ตาย ผู้ประกอบการก็ทำเป็นหูทวนลมได้ สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับสภาพ !!
....................................
(หมายเหตุ : 'ตั๋วหนัง-ป๊อปคอร์น'แพงเว่อร์ นานาทัศนะ...ควบคุมหรือเลิกดู : ทีมข่าวรายงานพิเศษ)
Credit: คมชัดลึก
