หนุ่มใหญ่เมืองแพร่ถูกแมงมุมกัดโคม่า

คาดแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล

          ชายเมืองแพร่ถูกแมงมุมพิษกัด อาการสาหัส เนื้อตาย ขาบวม แทบขยับร่างกายไม่ได้ เบื้องต้นแพทย์คาด อาจเป็นแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล ด้านผู้เชี่ยวชาญ ชี้อาจไม่ใช่ แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล เพราะถึงพิษแรงกว่างูเห่า 3 เท่า แต่ตัวเล็กปล่อยพิษได้ทีละน้อย

          วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า ชายจากอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่ ด้วยอาการถูกแมงมุมพิษกัดที่ต้นขาด้านซ้าย หลังเท้ามีแผลดำเป็นตุ่มใสขนาดใหญ่ มีไข้สูง ปวดขา ขาบวมแดงและดำคล้ำ 

          ทั้งนี้ แพทย์เจ้าของไข้จากโรงพยาบาลแพร่ เผยว่า ผู้ป่วยถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เด่นชัย โดยตัวผู้ป่วยมีอาการหนักแล้วเมื่อตอนที่มาถึง ทราบในเบื้องต้นว่าโดนแมงมุมกัดที่ขาและหลังเท้า โดยญาติได้นำซากแมงมุมใส่ถุงมาด้วย ตรวจเบื้องต้นประกอบกับลักษณะอาการ คาดว่าน่าจะเป็นแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล 

          จากการสอบถามมารดาของผู้ป่วย เผยว่า ลูกชายถูกแมงมุมไม่ทราบชนิดกัดขณะกำลังจะเข้านอนตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม ตอนแรกกัดที่หลังเท้าและโดนกัดซ้ำอีกที่น่อง แต่ไม่ได้มาโรงพยาบาลในทันที จนกระทั่งวันที่ 10 กรกฎาคม ลูกชายมีอาการปวดและแผลเริ่มจะลุกลาม จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เด่นชัย ก่อนจะถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลใหญ่อีกที โดยแมงมุมที่กัดนั้นได้บี้ตายไปแล้วและนำซากใส่ถุงพลาสติกมาด้วย 

          ด้านผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพร่ นายแพทย์วันชัย ล้อกาญจนรัตน์ เผยว่า ตอนนี้พิษแพร่ไปทั่วร่างกายแล้ว โดยพิษแพร่เข้าสู่กระเลือด และมีอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต ทำให้ผู้ป่วยช็อก มีภาวะตับและไตวาย เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเกิดจากพิษกลุ่มแมงมุมมีพิษที่ทำให้มีเนื้อตาย อย่างแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล แต่อย่างไรก็ดี ต้องรอผลการตรวจสอบที่แน่ชัดว่าเป็นแมงมุมชนิดใดก่อน โดยตอนนี้ได้ส่งตัวซากแมงมุมไปยังศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลศิริราชแล้ว น่าจะทราบผลภายใน 7 วัน และหากรู้ผลชัดเจนว่าเป็นแมงมุมพิษอย่างไร ก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้ในการป้องกัน และไปเฝ้าระวังหมู่บ้านที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ 

          ทั้งนี้ ยังมีรายงานต่อมาว่า มีผู้ทำการสืบค้นเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล โดยคุณวิมลวัลย์ โชติวงศ์ กลุ่มงานวิจัยไรและแมงมุม กลุ่มกีฏและสัตววิทยากรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ข่าวที่คาดว่าจะเป็นแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาลนั้น คิดว่าไม่น่าใช่ เนื่องจากข่าวรายงานว่า ผู้ป่วยมีบาดแผลเหวอะหวะ แต่แมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาลนั้นมีขนาดเล็กไม่ถึง 1 เซนติเมตร จึงไม่น่าเกิดแผลเหวอะหวะได้ เพราะมีเขี้ยวเล็ก พิษมีปริมาณน้อย และปกติแมงมุมกลุ่มนี้ไม่ได้ดุร้าย นอกจากจะกัดเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ส่วนอัตราการเสียชีวิตจากแมงมุมนี้ก็อยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับแมงมุมชนิดนี้มาจากต่างประเทศ ซึ่งคนมีภูมิต้านทานพิษต่ำกว่าบ้านเรา ส่วนในไทยยังไม่พบว่ามีแมงมุมชนิดไหนทำให้คนตาย อย่างมากแค่ทำให้เจ็บปวด ถ้าแพ้ก็จะมีอาการรุนแรงขึ้นอย่างแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ โดยในบ้านเราพบแมงมุมมีพิษ 4 ชนิด แมงมุมเขี้ยวยาว แมงมุมแม่หม้าย แมงมุมกระโดด และบึ้งต่าง ๆ 

          ด้านผู้อำนวยการศูนย์ธรมชาติศึกษาไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายประสิทธิ์ วงพรม เผยว่า ปัจจุบันมีแมงมุมสายพันธุ์ต่างประเทศไม่น้อยที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยจากการซื้อหามาเลี้ยงของคนชอบเลี้ยงสัตว์แปลก ส่วนแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลนั้นมีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกาเหนือ แต่ตอนนี้พบได้ในไทยกว่า 20 จังหวัดทั่วประเทศ โดยขนาดตัวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนท้องกลมป่องโตกว่าหัว ท้องมีลายคล้ายนาฬิกาทรายสีส้ม ข้างบนสีน้ำตาลสลับขาว มีลายเป็นริ้ว มีจุดสีดำสลับขาวซ้ายขวา 6 จุด 

          สำหรับพิษของแมงมุมสีน้ำตาลมีความรุนแรง สามารถทำลายระบบคุ้มกัน ระบบน้ำเหลือง และเม็ดเลือดขาว นับว่ามีพิษร้ายแรงกว่าพิษของแมงมุมแม่หม้ายดำ 2 เท่า แรงกว่างูเห่า 3 เท่า เมื่อเทียบในปริมาณที่เท่ากัน แต่อย่าไรก็ดี ด้วยความที่ตัวเล็กกว่า ปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกายจึงน้อยกว่า แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีเซรุ่มแก้อาการ ทำได้แค่รักษาไปตามอาการ ประคับประคองจนกว่าพิษจะหมดไปเองเท่านั้น

          พร้อมกันนี้ทางรายการได้ฝากข้อปฏิบัติตัวในกรณีถูกแมงมุมกัดไว้ว่า หากสงสัยว่าตนเองถูกแมงมุมพิษกัด ให้คิดเสมือนว่าโดนงูกัด และรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด 

ที่มา : kapook