ตามรายงานระบุว่า เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) พ่อแม่ของน้องอี๊ฟ สิริทิพย์ ได้เดินทางไปถึง สแตนฟอร์ด เมดิคอล เซ็นเตอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อเยี่ยมอาการของลูกสาว โดยยืนยันว่า บาดแผลตามร่างกายไม่หนักกว่าคาดคิดเอาไว้ ขณะนี้อาการของน้องอี๊ฟปลอดภัยดีแล้ว

 

          นอกจากนี้ น้องอี๊ฟ สิริทิพย์ ยังได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุบนเที่ยวบิน 214 สายการบินเอเชียนา ซึ่งบินมาจากสนามบินนานาชาติอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ปลายทางสนามบินนานาชาตินครซานฟรานซิสโก พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 307 ชีวิต น้องอี๊ฟเป็นลูกเรือประจำอยู่ส่วนท้ายของเครื่องบิน ร่วมกับเพื่อนลูกเรือชาวเกาหลีใต้

 

          ก่อนเกิดเหตุสังเกตว่าเครื่องร่อนลงแบบผิดปกติ หางเครื่องบินใกล้จะแตะพื้น แต่ส่วนหัวเครื่องยังบินเชิดสูง จึงยกเอามือขึ้นมาป้องใบหน้าและศีรษะ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าหางเครื่องบินชนกับคันกั้นน้ำทะเล ทำให้หางเครื่องบินหักออกจากตัวเครื่องบิน ตอนนั้นศีรษะและร่างกายของน้องอี๊ฟ ถูกลากขรูดไปกับพื้นรันเวย์และพื้นดิน เครื่องบินยังไถลออกไปอีกหลายร้อยเมตร น้องอี๊ฟจึงหมดสติไป

 

          เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที เหตุการณ์ยังคงวุ่นวาย เมื่อตั้งสติได้จึงปลดเข็มขัดออกจากตัว ทำให้ร่างล้มลงไปกับพื้น จึงถอดเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นมาคลุมศีรษะ ถึงได้ทราบว่าศีรษะบาดเจ็บ เลือดไหลอาบ แต่ยังไม่รู้สึกเจ็บ เพราะยังคงมีอาการชาอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปที่ตัวเครื่องบิน เห็นคนคนหนึ่งที่คิดว่าเป็นผู้โดยสารต้องการความช่วยเหลือ แต่พอจะเข้าไปช่วยกลับวิ่งหนี หลังจากนั้นก็วิ่งไปพบกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งโรงพยาบาลและหมดสติ ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

 

          อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเกิดเหตุ ทางผู้บริการของสายการบินได้เข้าไปเยี่ยมอาการของน้องอี๊ฟและผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ แล้ว พร้อมจะยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ทุกประการ ขณะที่ น้องอี๊ฟ ก็ยังคงยืนยันที่จะทำงานในสายอาชีพแอร์โฮสเตสและลูกเรือบนเครื่องบินอยู่ต่อไป ส่วน น้องหมิว มณีนาถ ตินณะกุล ลูกเรือชาวไทยอีกหนึ่งคนที่ประสบเหตุเช่นเดียวกัน ปลอดภัยแล้ว ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วในเบื้องต้น

 

          สำหรับความคืบหน้า การสอบสวนหาสาเหตุของเครื่องบินครั้งดังกล่าว มีการเปิดเผยคำให้การของนักบินที่ระบุว่าในช่วงที่เครื่องบินกำลังจะลงจอด นักบินได้ตั้งระบบออโต้ไพลอท (ระบบการบินอัตโนมัติ) รวมถึงระบบควบคุมเครื่องยนต์อัตโนมัติ ที่จะเป็นตัวกำหนดความเร็วในการลงจอด

 

          ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ระบบอัตโนมัติดังกล่าวอยู่ในสภาวะพร้อมใช้งาน แต่เจ้าหน้าที่ยังต้องสืบสวนต่อไปว่าระบบดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ส่วนการสอบปากคำผู้โดยสารส่วนใหญ่ ทำให้พบว่า หลังเกิดเหตุ พนักงานบนเครื่องบินขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ เพื่อรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกับหอบังคับการบิน จนกระทั่ง 90 วินาทีต่อมาจึงเกิดเพลิงไหม้ที่ด้านนอกตัวเครื่องบิน

 

ที่มา : http://news.sanook.com