วิทยาศาสตร์กับเรื่องผี ๆ
ปรากฏการณ์ทางวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า ผี นั้น ใช่ว่าจะเป็นเรื่องงมงายหรือไสยศาสตร์ แต่มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถเขียนเป็นรายงานได้ และในที่สุดมันก็ออกมาเป็นผลงานของ ดร.โดนัลล์ จี.คาร์เพนเตอร์
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งสนใจเรื่อง ผีๆ นับว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด หากเราจะกล่าวว่า ผี กับ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ ดร.คาร์เพนเตอร์ ได้ทำการวิเคราะห์มลภาวะทางฟิสิกส์ มีรายงานไปทั่วโลกและผลสรุปออกมาได้ว่า ถ้าผีจะมีตัวตนมันจะมีลักษณะเป็นไปตามกฎธรรมชาติ นั่นคือ
ถ้าปรากฏตัวจะกินเนื้อที่ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยตามคนธรรมดา ที่มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ซึ่งจะมีลักษณะมาตรฐาน ดังนี้
1. ปรากฏตัวในเวลากลางคืน
ซึ่งการปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที แล้วก็จะหายตัวไป แต่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก
2. ผีสามารถปล่อยแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้
โดยมีความเข้มของแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน (มันเท่าไหร่กันล่ะ?) จึงจะทำให้มนุษย์มองเห็นได้ ดร.แกบอกว่าผีจะเปล่งแสงออกมาเป็นแสงเรืองๆ (อย่างเช่นตอนมองเข้าไปในตึกร้างมืดๆ แต่สามารถเห็นใครได้อย่างชัดเจน อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ในสถานการณ์ปกติ)
3. การปรากฏตัวของผีต้องมีเครื่องนุ่มห่มด้วย (จำไว้ ผีไม่ชอบเปลือยกายหรอก)
และมักปรากฏเป็นภาพรางๆ โปร่งแสง (มองทะลุได้บ้าง) มีขนาดเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไป (ผีร่างเล็ก)
4. ผีจะปรากฏในสภาพที่หันหน้าให้กับคนที่พบเห็นเสมอ
5. ผีจะปรากฏตัวในสภาพของมนุษย์ ประมาณ 90% มีน้อยมากที่จะปรากฏในร่างของสัตว์
6. การปรากฏตัวของผีจะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงโดยเฉียบพลัน
เนื่องจากต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลล์ เข้าไปสะสม ทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้
7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกันการปรากฏตัว (มักจะมากับกลิ่นธูปหรือกลิ่นเหม็นเน่า)
เพราะ ดร.คาร์เพนเตอร์ไม่เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป ทำให้จำเป็นต้องนำคำกล่าวของบุคคลผู้หนึ่งมาเอ่ยถึง เพื่อเพิ่มความมีน้ำหนักของ ปรากฏการณ์ผีๆ ซึ่งคนนั้นคือ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ หรือที่มีชื่อว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก
ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า ผีก็แค่พลังงาน จะกลัวไปทำไม ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่ประกาศว่า สสารและพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายลงได้ มันทำได้เพียงแต่เปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปอีกแบบหนึ่งเท่านั้น ร่างกายมนุษย์มีทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานเคมี สมองและประสาทของเราเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนเสียชีวิตลง ร่างกายค่อยๆ เสื่อมสลาย
จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานไฟฟ้าของสมองและพลังงานเคมีของอวัยวะต่างๆ ที่เคยเผาไหม้และขับเคลื่อน ? ตามกฎของไอน์สไตน์ พลังงานทุกอย่างไม่สามารถสูญสลายหายวับไปเฉยๆ พลังงานจะเปลี่ยนสภาพและยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พลังงานจากร่างกายที่ดับสลายจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล (เป็นผี เป็นดวงจิต เป็นวิญญาณหรือเป็นเพียงก๊าซ)
และมีนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องวิญญาณอย่างจริงจัง คนๆนั้นชื่อ โทมัส อัลวา เอดิสัน ป๋าแห่งหลอดไฟนั่นเอง ในบั้นปลายชีวิตเขามีการประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งที่เป็นโครงการลับ (ว่าแต่ลับแล้วไปรู้มาได้ไงล่ะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทกับมันมาก หากแต่เวลาที่เขามีมันไม่พอที่จะทำให้มันสำเร็จ นั่นหมายความว่าเขาตายจากไปก่อน ซึ่งมันคือเครื่องที่ทำให้คนที่มีชีวิตติดต่อสื่อการและมองเห็นวิญญาณคนตายได้ เอดิสันเชื่อว่าวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาด้วยอนุภาคที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่เขาเรียกว่า หน่วยชีวิต หน่วยชีวิตสามารถประกอบขึ้นใหม่ในรูปแบบใดก็ได้ และจะยังมีความทรงจำอันเดิม บุคลิกภาพแบบเดิม และไม่สามารถทำลายลงได้ ซึ่งเครื่องมือของเขาจะสามารถตรวจจับหน่วยชีวิตในสิ่งแวดล้อม และทำให้คนเป็นติดต่อกับคนตายได้
แต่อย่างที่บอก มันไม่สำเร็จเพราะเขามีเวลาน้อยจนเกินไป และเพราะเหตุนี้ คนจำนวนมากถึงเห็นว่าเขาเป็นคนสติเฟื่อง ในขณะที่บางคนคิดว่าเขากำลังขับเคี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหลอดไฟ
มันก็เป็นเช่นนี้แล แถมที่อเมริกาเขาก็ได้ผลิตเครื่องมือสำหรับ ล่าผี ไว้ด้วย
ที่มา : ghosts-club.exteen.com
หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย