จากกรณี พระวิรพล สุขผล หรือ หลวงปู่เณรคำ ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการถือครองทรัพย์สินต่าง ๆ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ มูลค่านับพันล้านบาท รวมถึงพฤติกรรมฉาวในทำนองมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงจนมีลูกด้วยกัน 1 คน และมีผู้หญิงอื่น ๆ อีกหลายราย และมีพฤติกรรมเสพสารเสพติด เมาสุรา และใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จนทางเจ้าคณะจังหวัดมีการตั้งกรรมการตรวจสอบความผิดทางวินัยสงฆ์แล้ว โดยหลวงปู่เณรคำ ยังเก็บตัวเงียบในต่างประเทศและมีรายงานล่าสุดว่าหลังหมดวีซ่าในประเทศฝรั่งเศส พระรูปดังกล่าวเดินทางไปอาศัยที่สหรัฐอเมริกาแทนแล้ว โดยได้รับการช่วยเหลือจากคณะศิษย์ที่ยังคงศรัทธาและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ตรวจพบการนำเงินสดเกือบ 100 ล้านบาทเพื่อซื้อรถเบนซ์ 22 คันด้วยนั้น

 

 

          ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ในสหรัฐ มีกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำอยู่จริงโดยแบ่งเป็น 2 พวก คือ พวกศรัทธาในคำสั่งสอนเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์จากหลวงปู่เณรคำ ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะเป็นพวกเจ้าของร้านอาหารไทยในสหรัฐ ย่านลอสแอนเจลิส โดยรายงานล่าสุดพบความเคลื่อนไหวของลูกศิษย์พระดังอยู่แถวฟลอริดาและลอสแอนเจลิส เนื่องจากทั้งสองจุดนั้นมีบ้านพักและสำนักสงฆ์สาขาของหลวงปู่เณรคำอยู่ อีกทั้งยังพบว่าหลวงปู่เณรคำมีความสนิทสนมกับนายวินัย ละอองสุวรรณ หรือ อดีตพระยันตระ ด้วย โดยกลุ่มลูกศิษย์ของอดีตพระยันตระ ก็เข้ามาอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำอยู่เนือง ๆ ด้วย

 

 

          สำหรับข้อมูลที่ได้รับการอ้างอิงจาก www.alittltebudhdha.com พบถึงสาเหตุที่หลวงปู่เณรคำ หลบหนีมาสหรัฐ ว่า นายวิรพล สุขผล มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 32140 Ortega Hwy. Lake Elsinore CA 92530 ประกอบกับวัดโพธิญาณราม เมืองตวกหน่ง ประเทศฝรั่งเศส มีพระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ (ปานขาว) พระชาวลาว สัญชาติฝรั่งเศส เป็นเจ้าอาวาส ไม่กล้ารับรองสถานะจึงทำให้พระดังต้องหนีออกจากฝรั่งเศสมายังสหรัฐ และเมื่อทางพระดังหลบหนีเข้ามาในสหรัฐได้แล้ว ก็มีสิทธิขอลี้ภัยเหมือนกับอดีตพระรูปอื่น ๆ ที่กระทำผิดในไทยแล้วไปกบดานในสหรัฐ และขั้นตอนในการขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนนั้นค่อนข้างใช้ระยะเวลานานซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้หลบหนีหรือทำลายหลักฐานต่าง ๆ ด้วย

 

          ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ว่าตรวจสอบพบพระวิรพลซื้อรถยนต์เพิ่มเติมจากเดิมอีก 35 คัน โดยเป็นรถยนต์และรถตู้หลายรุ่น หลายยี่ห้อ ที่ซื้อมาจากหลายแหล่ง ซึ่งดีเอสไอจะสอบสวนว่ารถทั้งหมดถูกนำไปมอบให้บุคคลใดบ้าง ทั้งนี้ทราบว่าในจำนวนนี้มีรถยี่ห้อโตโยต้า คัมรี ป้ายแดง 2 คัน ที่มีชื่อเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอของจังหวัดหนึ่งเป็นผู้ครอบครอง ยืนยันว่าข้อมูลการครอบครองรถทั้งหมดข้อมูลชัดเจนว่าซื้อในชื่อของพระวิรพล

 

 

          วันเดียวกัน หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กล่าวภายหลังนำหลักฐานที่เกี่ยว ข้องกับการสอบสวนพฤติกรรมกระทำผิดของพระวิรพล มามอบให้ดีเอสไอเพิ่มเติมว่า ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคล 2 กลุ่ม ในคดีเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทำโดยมิชอบของพระวิรพล กลุ่มแรกประกอบด้วย เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลซึ่งอยู่ในที่ตั้งของที่พักสงฆ์ขันติธรรมในข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รับของโจรและสินทรัพย์อันมิชอบ ซึ่งถือเป็นความผิดทางโลก รวมทั้งความผิดทางธรรมวินัย คือ มีการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ และละเมิดกฎอาญาพระสังฆา ธิการ

 

          พระสุวิทย์ กล่าวอีกว่า เจ้าคณะฝ่ายปกครอง ยังไม่ยอมชี้โทษพระวิรพล ทั้งที่ประเด็นการอวดอุตริมนุสธรรมข้อแรกก็สามารถให้ปาราชิกได้แล้ว ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ นายสนอง วรอุไรและพรรคพวก ขบวนการ  ปั้นอรหันต์หลอกลวงประชาชนเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานทางกฎหมาย เป็นการปกป้องไม่ให้เกิดปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงทางพระ พุทธศาสนาอีก ในระยะที่ผ่านมา 10 ปีเจ้าคณะปกครองเดินทางเข้าออกที่พักสงฆ์ขันติธรรมมาตลอด เหตุใดจึงไม่ทราบว่าสถานที่ที่อยู่ในความปกครองเป็นสถานที่เถื่อนตั้งขึ้นมาไม่ถูกต้อง จึงอยากให้ทางดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินย้อนหลังที่พระวิรพลได้มา และนำไปติดสินบนคณะสงฆ์ฝ่ายต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้ขอให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการในกรณีหลวงปู่เณรคำ เพราะถ้าไม่รีบจะมีคดีลักษณะคล้ายกันในวัดดังของ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และนครปฐมด้วย

 

 

          ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณะเกษม ผกก.3 บก.ป. กล่าวถึงเรื่องคดีหลวงปู่เณรคำว่า พ.ต.ท.เอกพงษ์ พลมณี รอง ผกก.3บก.ป.และพนักงานสอบ สวนลงพื้นที่เร่งรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง เช่น นางลอน มนัส เจ้าของที่ดินที่ี่ตั้งสำนักสงฆ์ขันติธรรม และหญิงสาวที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำ ด้วย นอกจากนี้ทาง พ.ต.ท.สวิก นุชเจริญ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.3 บก.ป. ได้เข้าพบพระราชธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดมณีวราราม เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสอบถามกรณีต้นสังกัดของหลวงปู่เณรคำ ว่าสังกัดอยู่วัดไหน ถ้าไม่มีสังกัดจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง

 

“เบื้องต้นได้รับรายงานว่าหากภายในวันที่ 12 ก.ค.นี้ หลวงปู่เณรคำยังไม่เข้าชี้แจง ทางเจ้าคณะจังหวัดจะทำหนังสือแจ้งไปยังพระอุปัชฌาย์หลวงปู่เณรคำ ที่วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ และหากยังไม่มีต้นสังกัดใหม่ ก็จะถือว่าหลวงปู่เณรคำ เป็นพระเร่ร่อน จากนั้นก็จะพิจารณาสั่งให้ลาสิกขา สำหรับประเด็นเกี่ยวกับทอง ที่มีการรับบริจาคไว้นั้น ได้รับรายงานว่าทองคำมีการนำไปฝากไว้ที่ร้านทองหลายแห่งใน จ.อุบลราชธานี และพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนจะมีปริมาณเท่าใด อยู่ระหว่างตรวจสอบต่อไป และขณะนี้ได้ประสาน ปปง. ร่วมสอบสวนขยายผลว่า ปริมาณทองคำทั้งหมดเป็นของใคร และมีใครเป็นผู้นำมาฝาก รวมทั้งมีปริมาณเท่าใดกันแน่” พ.ต.อ.วรวุฒิ กล่าว

 

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการเปิดเผยจากพลเมืองดีถึงพฤติกรรมหลวงปู่เณรคำเพิ่มเติมในหลายประเด็น โดยที่น่าสนใจคือประเด็นเครื่องบินเจ๊ตที่มีการอ้างจากกัปตันคนหนึ่งว่าหลวงปู่เณรคำมีความคิดจะซื้อเป็นส่วนตัวนั้นมีอยู่จริง โดยมีภาพสเกตช์ของเครื่องบินในกล่องภาพกิจกรรมของหลวงปู่เณรคำในเว็บ ไซต์ ซึ่งเป็นภาพร่างที่มีการระบุอักษรชัดเจนว่า HS-LNK และมีภาพหลวงปู่เณรคำอยู่ที่ปลายหางชัดเจน โดยความหมายของอักษรย่อนั้นพบว่า HS คือ ตัวอักษรแทนประเทศไทย และ LNK คือ ชื่อย่อของหลวงปู่เณรคำ

 

 

          ทางด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ทั่วประเทศ เร่งดำเนินการตรวจสอบสถานะสาขาของสำนักสงฆ์ขันติธรรม ซึ่งมีจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศว่าขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ การเข้าไปจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมได้ขออนุญาตตามขั้นตอนหรือไม่ ที่ดินที่ตั้งเป็นของใคร เจ้าคณะปกครองในพื้นที่ทราบเรื่องหรือไม่ รวมถึงพระสงฆ์ไปพำนักที่สำนักสงฆ์แต่ละสาขาได้ขออนุญาตเจ้าคณะปกครองไหม และต้องตรวจสอบว่าการ เรี่ยไรเงินบริจาคของแต่ละสาขาแล้วนำไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง ทั้งนี้ทราบมาว่ามีสาขาของสำนักสงฆ์ขันติธรรมไม่ต่ำกว่า 10 แห่งที่ต้องตรวจสอบให้ละเอียด.