เค้กน้ำ คืออะไร 

?? มันมาจากไหน ขนมอะไร ??

          ของแปลกใหม่ในข่าวได้ยินมาวันนี้ คือ เค้กน้ำ ที่บ้านเราเรียกว่า เค้กน้ำ  ไม่รู้ใครตั้งชื่อนี้ แต่เป็นที่ฮือฮาของสาวๆ หลายๆ คนด้วยรูปลักษณ์เหมือนน้ำที่คงรูปได้เป็นก้อนทรงกลมเหมือนหยดน้ำ มีการโพสต์ และรีทวีตกันมากมายว่ามันคืออะไร จากภาพนี้ครับ

ตามเชคข้อมูลไปทางญี่ปุ่นก็เจออันนี้

          ที่จริงก็มีแชร์กันมากมายกว่าตัวอย่างนี้นะครับ แต่สรุปว่านี่แหละอินเทรนด์ ก็เลยไปค้นข้อมูลมาฝากสักหน่อยว่า เค้กน้ำ water cake มันคืออะไร

แล้วก็มีเมล์ แชท หลังไมค์มาถามกันให้ว่อน เลยครับ

          คำเฉลยจากการค้นข้อมูล ก็คือ … ที่หลายคนเรียกว่า เค้กน้ำ ที่จริงก็คือ เป็นขนมขึ้นชื่อของเมืองทาง ยามานาชิ มีชื่อว่า 水信玄餅 มิซึชินเกนโมจิ (แปลง่ายๆ ก็คือ โมจิน้ำ)  เป็นขนม หรือของหวานของญี่ปุ่น ทำจาก ชินเกนโมจิ หรือ โมจิข้าว มีเครื่องเคียง เป็นผงถั่วเหลือง และน้ำเชื่อมสีน้ำตาล เอาไว้ทานกับชา เป็นขนมที่จะทำขายในเดือน มิถุนายน ของทุกปี ของ ร้าน KimuTadashinoki Daigahara และ ร้าน KimuTadashinoki Nirasaki ที่ ยามานาชิ

 

          และเห็นว่าจะมีขายเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดเท่านั้น จนถึงสิ้นกันยานี้ครับ ที่จริงก็อยากรู้ว่ามันทำยังไง วิธีการก็ไม่มีบอก ทานก็ต้องไปทานที่นั่นเท่านั้น ที่ในใจคิด ก็คือเป็นโมจิที่ดูใสๆเหมือนน้ำ คงรูปได้แค่ 30 นาที เท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่า คำตอบที่ดีที่สุด คือการได้ไปทดลองสัมผัสและชิม ด้วยตัวเอง แหม น่าไปลองทานจริงๆ ครับ 555

          สรุปที่เราเรียกว่า เค้กน้ำ นี่ไม่น่าจะถูกนะครับ 555 แต่ที่แน่ๆ น่าทานชะมัดเลย ดูรูปทรงแปลกใหม่สวยสะดุดตาแบบนี้เท่สุดๆ แต่ถ้าดูที่มาจากแป้งและเครื่องเคียงแล้วแล้วก็น่าจะคล้ายกับขนมบ้านเรา ที่ทำจากแป้งและทานกับน้ำเชื่อม ซึ่งมีหลายชนิดมาก อย่างขนมถ้วยจีน ขนมถ้วยชา ขนมถ้วยฟู หรือ ของทางฮากกา อย่างมี้เก๊าปั้น เป็นแป้งสีเหลีองใส่ถ้วยนึ่ง เวลาทานเราจะเอามาราดด้วยน้ำเชื่อมสีน้ำตาลข้น ๆ โรยด้วยงาขาวคั่ว จำได้ว่า หน้าศาลเจ้าพ่อเสือ เสาชิงช้า เคยมีขนมชิ้นกลมแป้ง นึ่งแล้วสีขาวค่อนข้างใสรสชาติเหนียวหวานอร่อย อันนี้รูปลักษณ์ใสใกล้เคียงสุด แต่ตอนนี้ไม่รู้ยังมีขายอยู่ไหม ไม่ได้ผ่านไปทางนั้นหลายปีแล้ว
 

          เพียงแต่ขนมหวานของญี่ปุ่นเค้า คิดรูปลักษณ์ทำออกมาได้สวยงามดึงดูดใจ และมีเอกลักษณ์โดด เด่นมากๆ แต่ก็ไม่ยืนยันนะครับ จนกว่าจะมีโอกาสได้ไปชิมด้วยตัวเอง แล้วจะกลับมาเขียนเล่าบอกอย่างละเอียดอีกครั้งนึงครับ (ถ้ามีโอกาสนะ)

ที่มา : http://www.talongin.com/