การเสริมความงามบริเวณริมฝีปาก เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพื่อปรับรูปทรง เพิ่มความอวบอิ่ม ให้ริมฝีปากดูสวยงาม ดึงดูดใจ วิธีการเสริมความงามริมฝีปาก ที่พบบ่อย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ การศัลยกรรมปาก และ การฉีดฟิลเลอร์ปาก บทความนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ ความแตกต่าง ข้อดีข้อเสีย และ กลุ่มคน ที่เหมาะกับวิธีการแต่ละแบบ

1. การศัลยกรรมปาก:

วิธีการ: แพทย์จะทำการผ่าตัดศัลยกรรมปาก โดยกรีดริมฝีปาก ปรับแต่งรูปทรง และเย็บแผลให้เรียบร้อย

ประเภท:

การเสริมปากบาง: เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ต้องการเพิ่มเนื้อริมฝีปากให้หนาขึ้น

การเสริมปากกระจับ: เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากหนา ต้องการปรับรูปทรงให้บางลง มีกระจับชัดเจน

การผ่าตัดตกแต่งริมฝีปากบน: เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบนบาง ต้องการยกกระชับ ให้ดูอวบอิ่ม

การผ่าตัดตกแต่งริมฝีปากล่าง: เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากล่างหนา ต้องการปรับรูปทรงให้บางลง

ข้อดี:

ปรับรูปทรงริมฝีปากได้ถาวร

เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างริมฝีปาก

ผลลัพธ์ชัดเจน

ข้อเสีย:

ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์

มีรอยแผลเป็น

เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ อาการบวม ชา

2. การฉีดฟิลเลอร์ปาก:

วิธีการ: แพทย์จะฉีดสารฟิลเลอร์ เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด เข้าไปบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม ปรับรูปทรง

ประเภท:

การฉีดฟิลเลอร์ปากบาง: เพิ่มความอวบอิ่ม ให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้น

การฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ: ปรับรูปทรงให้บางลง มีกระจับชัดเจน

การฉีดฟิลเลอร์ปากมุมปาก: เติมเต็มร่องมุมปาก ให้ดูเรียบเนียน

ข้อดี:

สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน

ปรับรูปทรงได้ตามต้องการ

ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อย

ข้อเสีย:

ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำ

เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการบวม แดง ช้ำ การติดเชื้อ

3. กลุ่มคนเหมาะกับวิธีการไหน:

ต้องการปรับรูปทรงถาวร: เหมาะกับการศัลยกรรมปาก

ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม ชุ่มชื้น: เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ต้องการปรับรูปทรง มีกระจับ: พิจารณาจากความเหมาะสม และความต้องการ

กลัวเข็ม ไม่อยากพักฟื้นนาน: เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

มีปัญหาโครงสร้างริมฝีปาก: เหมาะกับการศัลยกรรมปาก