รวมเรื่องราวลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้

  

รวมเรื่องราวลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ว่า เกิดกรณีฮือฮา นายเรนาโต้ ดาวิลญ่า ริเควลเม่ เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์”ไปรวาโด ริตอส อันดินอส”ในเมืองคุสโค ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเปรู ได้ค้นพบมัมมี่ประหลาดโบราณ มีลักษณะดวงตาใหญ่กว่ามนุษย์ ตัวเล็กมีความสูงราว 50 ซม. 

 

          รายงานระบุว่า การค้นพบดังกล่าวสร้างความฮือฮาและทำให้นักโบราณคดีหลายคนจากสเปนและรัสเซีย เดินทางมาดูมัมมี่พิศดารดังกล่าว ที่พิพิธภัณฑ์ เพื่อเห็นด้วยตาตัวเอง และทุกฝ่ายต่างสรุปว่า มัมมี่โบราณนี้”ไม่ใช่มนุษย์”และเตรียมจะศึกษามัมมี่นี้ต่อไป รวมทั้งการตรวจสอบดีเอ็นเอว่าเป็นมนุษย์หรือไม่ด้วยรายงานระบุว่า สำหรับกระโหลกของมัมมี่พิศดารนี้ คล้ายกับกระโหลกผลึกในภาพยนตร์เรื่อง”อินเดียน่า โจนส์”ซึ่งเป็นมัมมี่ที่เป็นมนุษย์ต่างดาว และมีพลังเหนือธรรมชาติ

 

 

God from space พระเจ้าจากอวกาศของชาวสุเมเรียน

          …..บันทึกโบราณจากอักษรลิ่ม คิวนิฟอร์ม ที่บันทึกลงบนแผ่นดินเหนียว ของชาวสุเมเรียน ณ ดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณอายุ 6,000-7000 ปี กล่าวถึง พระเจ้าหรือเทพเจ้าของเขาที่ลงมาสอนวิทยาการให้ จากการศึกษาภาษาโบราณของนาย Zecharia Sitchin ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้นมาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3,600 ปี

          …..และกล่าวถึงการสกัด DNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยียุคปัจจุบันที่โลกกำลังพัฒนาอยู่ด้านวิทยาศาสตร์ Biotechnology

          …..สำหรับตำนานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คืออารยธรรมสุเมเรียนนั้นเล่า มีเรื่องราวของการสร้างมนุษย์คนแรกของโลก “อาดัม” Zecharia Sitchin ผู้ศึกษาอักษรคิวนิฟอร์มจนแตกฉานสรุปเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้ในงานเขียนของเขาว่า

          …..”… เทพผู้สร้าง Enki ดำริที่จะสร้างมนุษย์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยุ่แล้วบนโลก วัตถุดิบที่พวกเขาหามาทำการทดลองคือลิง ape เพศเมีย มนุษย์ที่พวกเขาสร้างนั้นเรียกกันว่า Lulu Amelu (‘the mixed worker) โดยการนำเอายีนของพระเจ้าคือ Anunnaki มาผสมเข้ากับเซลของมนุษย์โลก จากนั้นก็ฝังเข้าไปในรังไข่ของ Anunnaki เพศหญิง หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ มนุษย์โลกที่เป็น Homo Zapiens ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้…”

 

ภาพบันทึกโบราณชาวสุเมเรียนที่ขุดพบ

          รูป b ตรงกลางระหว่างคนสองคน เป็นรูปภาษาสัญลักษณ์ที่ใช้ในอียิปต์โบราณด้วย เรียกว่า อังค์ สัญลักษณ์พลังแห่งชีวิต

          รูป c ถ้าดูดีๆคล้ายคลึงกับ DNA 

 

          …..บทที่ยกมาเป็นบทที่เรารู้จักกันดี เพราะกล่าวตรงกันทั้งสองแหล่ง นั่นคือตำนานของชาวสุเมเรียนกับบทเยเนซิสที่ว่าด้วยการสร้างโลกและมนุษย์

 


ภาพแผ่นดินเหนียวบันทึกอักษรคิวนิฟอร์ม ชาวสุเมเรียนโบราณ

 

ภาพวิหารของชาวสุเมเรียน Guto-Sumerian Ziggurat

 

Enki เทพโบราณผู้ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา

 

รูปปั้นของเทพเจ้าที่พบในโบราณสถานที่ U-Baid ประเทศอิรัก Anunnaki? หน้าตาประหลาด สวมหมวกทรงประหลาด(คล้ายนักบินอวกาศ)

 

 

ซิกกูรัต วิหารของชาวสุเมเรียน

          …..ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา

          …..Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา(Sumerologist)ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริ เริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้น ได้แก่

          * โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก
          * มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
          * มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
          * มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
          * มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
          * ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็นเจ้าแรก
          * มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
          * มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
          * มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก
          * เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่
          * มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก
          * และอื่นๆอีกมากมาย

          …..นี่ไม่เป็นเพียงอารยธรรมแรกที่พวกเราตัดสินได้จากสามัญสำนึก เท่านั้น หากแต่ยังมีผลแตกแขนงให้กับอารยธรรมอื่นทั่วทุกมุมโลก มันน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่า ชาวซูเมอร์ไม่เพียงแต่มีความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่นของตนเท่านั้น พวกเขายังคงทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ตามอารยธรรมอื่นๆแม้กระทั่ง อารยธรรมของมนุษย์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20

          …..เริ่มต้นจากการรู้จักใช้เครื่องมือจากหินเมื่อ 2 ล้านปีก่อน และธำรงชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆมาจนกระทั่งอารยธรรมสุเมเรียนผุดขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล มันเรืองโรจน์เสียจนนักโบราณคดีประหลาดใจไปตามๆกัน ไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์ให้สืบสาว ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์พวกนี้ไปเอาความรู้ที่ไม่มีร่องรอยของการสั่งสมเหล่า นี้มาจากที่ใด จากใคร และเมื่อใด


เหมือนกับจู่ๆอารยธรรมนี้ก็ผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ของเรา?

          …..อะไรคือสาเหตุของการพัฒนาอย่างปุบปับในด้านอารยธรรม? ในเมื่อหลายหมื่นหรืออาจจะเก่าไปจนถึงล้านปีก่อนนั้นพัฒนาของมนุษย์เป็นไป อย่างเชื่องช้า ความเป็นอยู่ของพวกเขาล้าหลัง ป่าเถื่อน และเจริญพอๆกับลิง อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ…..จากมนุษย์ถ้ำมาเป็นมนุษย์ยุคพริมิทิฟที่ยังชีพด้วยการล่า สัตว์ หาของป่า จากนั้นพวกเขารู้จักทำเกษตรกรรมและเครื่องปันดินเผา และหมัดเด็ดของการพัฒนาจากชุมชนขึ้นมาเป็นเมืองซึ่งเจริญล้นเหลือทั้งในด้าน วิศวกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การผลิตโลหะ การพาณิชย์ ดนตรี กฏหมาย การแพทย์ ศาสนา และมาถึงขั้นสำคัญที่สร้างหลักฐานให้พวกเราได้สืบสาวราวเรื่องกัน ความเจริญสูงสุดในแง่ของศิลปะและวรรณคดี…..ทั้งหมดนี้นักโบราณคดีมึนหัวตึบเพราะตอบไม่ได้ว่าชาวสุเมเรียนเอาความ เจริญพวกนี้มาจากไหน ทั้งที่ชาวสุเมเรียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่มาของอารยธรรมอันรุ่งเรือง นี้ว่า…..เอามาจากพระเจ้า

 

ภาพจารึกกลุ่มดาว ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียน

 

วงโคจรดาว Nibiru

 

          อารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้าง เพราะพวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปี

          …..ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็นพื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

          …..เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยาย คือระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียน ก้าวไกลและน่าพิศวง

 

12.Nibiru

          …..แม้ว่าดาวดาวดวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งนอกจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง

          ….. ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ ดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง

          …..Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3,600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกัน

          ….. Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3,600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3,600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว

          ….. ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปี ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

          ….. หลักฐาน Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนา ก็เพราะว่าความเชื่อศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี

          ….. จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ โดยไม่ลืม ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคย ที่จะบิดเบือนศรัทธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

          ….. จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า “Nefilim” อันแปลว่า “those who came down” หรือ “Came down from where” นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมา

          ….. Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet – Planet ‘X’ ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk

          ….. จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

          Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมาในอวกาศได้ พวกเขาเคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้วพระเจ้า-ยานพาหนะอวกาศ หลักฐานจากอารยธรรมโบราณแหล่งต่างๆที่พบในโลก

 

ภาพของชาวมายัน วาดแทนพระเจ้า/เทพเจ้าของตน ที่ลงมาสั่งสอนวิทยาการ แล้วกลับขึ้นสู่สวรรค์ด้วยพาหนะคล้ายยานอวกาศ

 

จารึกติดฝนังวิหารแห่งนึงที่อียิปต์

 

อันนี้ก็พบที่โคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1,000 ปีมีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบันมีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินวัตุเหล่านี้ถูกเรียกว่า oopart

 

          แม้ว่าชาวอียิปต์ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวกันกับมนุษย์ต่างดาวทางสายเลือดแต่ก็มีบันทึกไว้ว่า ในสมัยของพระเจ้าฟาโรห์ธุสโมซิทที่ 3 ได้มีการพบเห็นสิ่งที่คล้ายกับ UFO โดยถูกบันทึกลงในกระดาษปาปิรัส เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อน” ในปีที่ 22 ในเดือน 3 ของฤดูหนาว ในชั่วโมงที่ 6 ของวันบรรดาพระในราชสำนักได้พบเห็นวงล้อไฟผ่านมาทางท้องฟ้า มันไม่มีหัว ลำตัวกว้างและยาว 1 ไม้วัด ( 5 เมตร ) ปากของมันระบายกลิ่นออกมา มันไม่ส่งเสียง และแล้วพระทั้งหลายก็มีจิตใจตื่นตระหนกและงงงวย ต่างพากันนอนเอาท้องราบกับพื้น แล้วรายงานให้ฟาโรห์ทราบ … หลังจากผ่านไปหลายวันก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นในท้องฟ้ามากกว่าที่ผ่านมา มันส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ และขยายไปจนถึงขอบเขตทั้ง 4 ด้านของสวรรค์ วงไฟเหล่านี้ครอบครองอยู่เต็มฟ้า เมื่อไพร่พลของฟาโรห์แหงนมองดูมันทันใดนั้น วงไฟก็ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทางทิศใต้ ปลาและสัตว์ปีกหรือนกต่างก็ร่วงลงมาจากฟ้า เป็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่การก่อตั้งอาณาจักร ฟาโรห์ได้บัญชาให้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในบันทึกเหตุการณ์ประจำปีของราชสำนักเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่จดจำไปตลอดกาล “

          ที่ออสเตรเลียก็มีภาพวาดโบราณพวกนี้เหมือนกันถ้ำคิมเบอร์ลี่ มีรูปคือวอร์จิน่า เป็นรูปวาดของชนเผ่าที่เก่าแก่กว่าชาวอะบอริจินส์มากเขาบอกว่านี่คือพระเจ้าของพวกเขา ลงมาจากฟากฟ้ามาสอนให้พวกเขารู้จักวิทยาการต่าง

 

อายุ 6,000 ปี ขุดเจอที่เคียฟ (ยุโรปตะวันออก)

 

ภาพที่ทะเลทรายซาฮ่าร่า อายุ 8,000 ปี

 

ภาพฝาผนังที่ปิรามิดซักการ่า วาดไว้ 5,000 ปีแล้ว

 

          โดกุ คือชื่อเรียกตุ๊กตาประหลาด ที่มีการค้นพบในญี่ปุ่น คาดว่าสร้างในสมัยโชมอนตอนปลาย

          ในปี 1894 นพ.ซึโกโร่ ชึโบอิ เป็นคนแรกที่ได้เสนอ ความคิดที่ว่ามันอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วก็มี นักโบราณคดีชาวญี่ปุ่นอีก 2- 3 ท่าน เห็นตามไปด้วย ถึงกับให้ทางอเมริกันตรวจสอบ ซึ่งหากมันเป็นชุดมนุษย์อวกาศแบบนึงก็แสดงว่ามีความเข้ากันได้ไม่น้อยทีเดียว

          มีตํานานเล่าว่า เทพเจ้าฮิโตโคโตนูชิเป็นเทพที่มาเยือนมนุษย์เพื่อสอนให้มนุษย์รู้จักวิทยาการต่างๆตํานานกล่าวอีกว่าเทพฮิโตโคโตนูชิเป็นเทพสวมชุดโชมอนอยู่ในชุดแต่งกายของชุดมนุษย์โบราณและถืออาวุธที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้และมีหมวกเหล็กสวมบนศีรษะถูกพบในบริเวณ คาเมกาโอกะ อาโอโมริและ มิยกิ แถบ โตโฮกุและคันโต


ศตวรรษที่ 12

 

ภาพวาดขึ้นในศตวรรษที่ 15

 

ภาพนี้วาดขึ้นในปี 1710

 

ที่มา : namkhingnk.wordpress.com

  

บทความที่เกี่ยวข้อง
ไขปริศนา มนุษย์ต่างดาว (ตอนแรก) ... อ่านต่อ
ไขปริศนา มนุษย์ต่างดาว (ตอนจบ) ... อ่านต่อ
10 หลักฐานที่ทำให้โลกเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาว มีจริง ... อ่านต่อ
ดูดวง / ฮวงจุ้ย
ทายนิสัย จากลายมือการเขียนตัวเลข ... BY : หมอเมท ... อ่านต่อ
คาถาทวงหนี้ คาถาอีกาวิดน้ำ ใช้สำหรับคนยืมเงินแล้วไม่คืนหรือของหาย ... อ่านต่อ
ตากระตุก ตาเขม่น ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกเรื่องราวอะไร? ... อ่านต่อ
 

 


 


 


 


 


 


 


 


 


 

หมอดู - ดูดวง - ทำนายเบอร์โทร - ทำนายตัวเลข - หมอเมท - ทศวิวัฒน์ - พยากรณ์เบอร์ - เบอร์มงคล - เลขมงคล - เลขศาสตร์ - หมอดูเบอร์ - จัดเบอร์มงคล - อบรมเรื่องตัวเลข - บทความตัวเลข - เลขรวย

бишкек эскорт

 

Copyright @2014 Horonumber.com All rights reserved.